ฤกษ์ปฐมบท
เอาหละ หลังจากข้าพเจ้าโด๊ป M150 ไปได้ 1 ขวด เราก็จะมาร่ายเรื่องฤกษ์กันในแบบทัศนะส่วนตัวของข้าพเจ้า(เน้นทัศนะส่วนตัวนะครับ) ตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้ว แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับจักรวาลในแบบดาราศาสตร์กันก่อน เพื่อความเข้าใจในแบบ วัย-สะ-รุ่น คนรุ่นใหม่สมัยวิทยาศาสตร์กันก่อน ตามมาครับข้าพเจ้าจะพาไปท้องฟ้าจำลองห้องฉายดาวของตาบอดส่องตะเกียงกัน
ขณะนี้เรายืนอยู่บนดาวเคราะห์ (Planet) ดวงหนึ่ง ซึ่งมีนานมังกรว่า โลก (Earth) ซึ่งเป็นดาวเคราะห์สีฟ้าอมเขียว โลกเรานั้นตั้งอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล โดยมีเจ้าลูกไฟดวงโตๆ ดวงหนึ่งเป็นประธานของระบบเรา โดยเราขนานนามลูกไฟนั้นว่า ดวงอาทิตย์ ซึ่งบริวารนั้นก็มีดาวเคราะห์มากมาย เช่น ดาวพุธ ศุกร์ โลก อังคาร พฤหัส เสาร์ ยูเรนัส เนปจูน และ พลูโต นี่แหละที่เรารวมเรียกว่าระบบสุริยะจักรวาล
แต่ที่เรารู้จักระบบสุริยะจักรวาลของเราแล้ว ก็ยังมีระบบเช่นนี้อีกมากมายในในจักรวาลนี้ ซึ่งมากมายเกินคณานับ ซึ่งเอาแค่กาแล็กซี่ (Galaxy) ของเราไม่ต้องพูดถึงกาแล็กซี่อื่นซึ่งมีอีกนับไม่ถ้วน กาแล็คซี่ของเรานั้นมีชื่อเรียกซึ่งเราเรียกกันจนติดปากว่า ทางช้าเผือก หรือ ธารน้ำนม (Milky Way) นั้นก็มีดาวฤกษ์หรือดวงอาทิตย์เช่นเรามากมายก่ายกอง คิดดูเอาเถอะว่าพระอาทิตย์ในระบบสุริยะของเราเพียงดวงเดียว ยังมีผลต่อเราขนาดนี้ ทำให้เกิดฤดูกาล ความร้อน-ความหนาว ความมืด-ความสว่าง ทำให้ดอกไม้ใบไม้บานสะพรั่ง ทำให้เกิดระบบชีวิตบนโลกได้ แล้วดาวฤกษ์หรือพระอาทิตย์ที่มีอยู่บนท้องฟ้าอีกมากมายทำไมจะไม่มีผลต่อโลก อย่าลืมพระอาทิตย์ทุกดวงมีพลังงานที่มหาศาล มีคลื่นความสั่นสะเทือนมากมายก่ายกอง
ยังผลให้บรรพจารย์ผู้รจนาคัมภีร์โหราศาสตร์ต้องนำกลุ่มดาวฤกษ์เหล่านี้มาใช้ในการพยากรณ์ด้วย และเน้นกันมาแต่นมนาน แต่วันนี้บางท่านกลับมองข้ามไปเห็นเป็นสิ่งไร้สาระไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ที่ข้าพเจ้านำมาให้ท่านจะใช้หรือไม่นั่นแล้วแต่ท่าน แต่ศึกษาไว้ก็ไม่เสียหลาย เพื่อต่อยอดได้ในการศึกษาขั้นสูงต่อไป
คราวนี้มาดูการแบ่งกลุ่มดาวฤกษ์ ตามหลักโหราศาสตร์กันว่าท่านจัดแบ่งไว้เช่นไรกันบ้าง ดาวฤกษ์(Star) คือพระอาทิตย์ในแต่ละดวงบนท้องฟ้า ใหญ่บ้างเล็กบ้างกว่าของเราก็มี เมื่อเราเงยหน้าขึ้นไปดูบนท้องฟ้าจะเห็นดาวที่สุกสว่างมากมาย นั่นแหละครับดาวฤกษ์มันจะมีแสดงสว่างนิ่งในตัวเอง ซึ่งจะแตกต่างกับดาวเคราะห์(Plannet) ซึ่งไม่มีแสงในตนเองต้องอาศัยแสงจากพระอาทิตย์ ดาวฤกษ์ทั้งหลายบนท้องฟ้ามักจะอยู่ในตำแหน่งคงที่ในท้องฟ้า ที่ท่านเห็นเคลื่อนย้ายขยับไปก็เพราะโลกเราหมุนเท่านั้นเอง ฉะนั้นจึงแยกดาวฤกษ์เป็นดังนี้
1. พระอาทิตย์ ของเราซึ่งเป็นราชาแห่งสุริยะจักรวาลของเรานี้ เมื่อเป้นประธานของชาวดาวเคราะห์เราก็เลยต้องแยกท่านไว้ต่างหากจากดาวฤกษ์ทั่วไปก่อน และพระอาทิตย์นี้เป็นสิ่งสำคัญในดวงชะตามากเช่นกัน
2. กลุ่มดาวฤกษ์ที่เราเรียกกันว่า กลุ่มนักษัตร เป็นการแบ่งเพื่อการคำนวณเดือน ฤดูกาล ซึ่งแยกได้เป็น 12 ส่วน ซึ่งเราเรียกสรรพนามนำหน้ากลุ่มดาวฤกษ์พวกนี้ว่าราศี มีรายนามดังนี้
2.01 ราศีเมษ (Aries) รูปแกะ
2.02 ราศีพฤษภ (Taurus) รูปโค
2.03 ราศีเมถุน (Gemini) รูปคนคู่
2.04 ราศีกรกฏ (Cancer) รูปปู
2.05 ราศีสิงห์ (Leo) รูปสิงโต
2.06 ราศีกันย์ (Virgo) รูปหญิงสาวถือรวงข้าว
2.07 ราศีตุลย์ (Libra) รูปคนถือตราชั่ง
2.08 ราศีพิจิก (Scorpio) รูปแมงป่อง
2.09 ราศีธนู (Sagittarius) รูปคนโก่งคันศร
2.10 ราศีมกร (Capricorn) รูปมกรหรือแพะทะเล
2.11 ราศีกุมภ์ (Aquarius) รูปคนเทน้ำ
2.12 ราศีมีน (Pisces) รูปปลาคุ่
3. กลุ่มดาวฤกษ์ที่ใช้ในวงการโหราศาสตร์อีก 27 กลุ่ม ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มดวงอาทิตย์ในจักรวาลทั้งนั้น(ซึ่งเดิมทางภารตะแบ่งไว้มากกว่านี้ แต่ปัจจุบันให้เหลือเพียง 27 กลุ่ม) ท่านให้เป็นฤกษ์บน มีดังนี้คือ
3.01 กลุ่มอัศวิณี หรือ อัศวินี ( กลุ่มดาวม้า ) เริ่มตั้งแต่ 00.00 องศา ราศีเมษ 13.20 องศา ราศีเมษ
3.02 กลุ่มภรณี ( กลุ่มดาวแม่ไก่ หรือ ก้อนเส้า ) เริ่มตั้งแต่ 13.21 องศา ราศีเมษ 26.40 องศา ราศีเมษ
3.03 กลุ่มกฤตติกา หรือ กฤติกา ( กลุ่มดาวลูกไก่ ) เริ่มตั้งแต่ 26.41 องศา ราศีเมษ 10.00 องศา ราศีพฤษภ
3.04 กลุ่มโรหิณี ( กลุ่มดาวจมูกม้า หรือ คางหมู ) เริ่มตั้งแต่ 10.01 องศา ราศีพฤษภ 23.20 องศา ราศีพฤษภ
3.05 กลุ่มมฤคศิระ ( กลุ่มดาวศีรษะเนื้อ ) เริ่มตั้งแต่ 23.21 องศา ราศีพฤษภ 06.40 องศา ราศีเมถุน
3.06 กลุ่มอราทรา หรือ อารทรา ( กลุ่มดาวฉัตร ) เริ่มตั้งแต่ 06.41 องศา ราศีเมถุน 20.00 ราศีเมถุน
3.07 กลุ่มปุนรวสุ หรือ ปุนัพสุ ( กลุ่มดาวสำเภา ) เริ่มตั้งแต่ 20.01 องศา ราศีเมถุน 03.20 องศา ราศีกรกฎ
3.08 กลุ่มปุษยะ หรือ บุษยะ ( กลุ่มดาวปุยฝ้าย ) เริ่มตั้งแต่ 03.21 องศา ราศีกรกฎ 16.40 องศา ราศีกรกฎ
3.09 กลุ่มอาศเลษะ หรือ อาศเลษา ( กลุ่มดาวแมว หรือ พ้อม ) เริ่มตั้งแต่ 16.41 องศา ราศีกรกฎ 30.00 องศา ราศีกรกฎ ( สุดนวางค์ขาด )
3.10 กลุ่มมาฆะ หรือ มฆา ( ดาววานร หรือ งอนไถ ) เริ่มตั้งแต่ 00.00 องศา ราศีสิงห์ 13.20 องศา ราศีสิงห์
3.11 กลุ่มปุรพผลคุนี หรือ บุรพผลคุนี ( กลุ่มดาวเพดานหน้า ) เริ่มตั้งแต่ 13.21 องศา ราศีสิงห์ 26.40 องศา ราศีสิงห์
3.12 กลุ่มอุตตรผลคุนี หรือ อุตรผลคุนี ( กลุ่มดาวเพดานหลัง ) เริ่มตั้งแต่ 26.41 องศา ราศีสิงห์ 10.00 องศา ราศีกันย์
3.13 กลุ่มหัสตะ ( กลุ่มดาวศอกคู้ หรือ ฝ่ามือ ) เริ่มตั้งแต่ 10.01 องศา ราศีกันย์ 23.20 องศา ราศีกันย์
3.14 กลุ่มจิตรา ( กลุ่มดาวตาจรเข้ ) เริ่มตั้งแต่ 23.21 องศา ราศีกันย์ 06.40 องศา ราศีตุลย์
3.15 กลุ่มสวาติ หรือสวาตี ( กลุ่มดาวช้างพัง ) เริ่มตั้งแต่ 06.41 องศา ราศีตุลย์ 20.00 องศา ราศีตุลย์
3.16 กลุ่มวิสาขะ ( กลุ่มดาวแขนนาง หรือ เขากระบือ ) เริ่มตั้งแต่ 20.01 องศา ราศีตุลย์ 03.20 องศา ราศีพิจิก
3.17 กลุ่มอนุราธะ ( กลุ่มดาวหมี หรือ หน้าไม้ ) เริ่มตั้งแต่ 03.21 องศา ราศีพิจิก 16.40 องศา ราศีพิจิก
3.18 กลุ่มเชฎฐา หรือ เชษฐา ( กลุ่มดาวแพะ หรือ ช้างใหญ่ ) เริ่มตั้งแต่ 16.41 องศา ราศีพิจิก 30.00 องศา ราศีพิจิก ( สุดนวางค์ขาด )
3.19 กลุ่มมูละ ( กลุ่มดาวช้างน้อย ) เริ่มตั้งแต่ 00.00 องศา ราศีธนู 13.20 องศา ราศีธนู
3.20 กลุ่มปุรพาษาฒ ( กลุ่มดาวแรดตัวผู้ หรือ ช้างพลาย ) เริ่มตั้งแต่ 13.21 องศา ราศีธนู 26.40 องศา ราศีธนู
3.21 กลุ่มอุตตราษาฒ ( กลุ่มดาวแรดตัวตัวเมีย หรือ ช้างพัง ) เริ่มตั้งแต่ 26.41 องศา ราศีธนู 10.00 องศา ราศีมกร
3.22 กลุ่มสราวณะ หรือ ศรวณะ ( กลุ่มดาวคนจำศีล ) เริ่มตั้งแต่ 10.01 องศา ราศีมกร 23.20 องศา ราศีมกร
3.23 กลุ่มธนิษฐา หรือ ธนิษฐะ ( กลุ่มดาวกา ) เริ่มตั้งแต่ 23.21 องศา ราศีมกร 06.40 องศา ราศีกุมภ์
3.24 กลุ่มสคภิสัท หรือ ศตภิษัช ( กลุ่มดาวมังกร หรือ งูเลื้อย ) เริ่มตั้งแต่ 06.41 องศา ราศีกุมภ์ 20.00 องศา ราศีกุมภ์
3.25 กลุ่มปูราภัทรปท หรือ บุรพภัทรบท ( กลุ่มดาวราชสีห์ตัวผู้ ) เริ่มตั้งแต่ 20.01 องศา ราศีกุมภ์ 03.20 องศา ราศีมีน
3.26 กลุ่มอุตตรภัทร หรือ อุตรภัทรบท ( กลุ่มดาวราชสีห์ตัวเมีย ) เริ่มตั้งแต่ 03.21 องศา ราศีมีน 16.40 องศา ราศีมีน
3.27 กลุ่มเรวดี หือ เรวตี ( กลุ่มดาวปลาตะเพียน ) เริ่มตั้งแต่ 16.41 องศา ราศีมีน 30.00 องศา ราศีมีน ( สุดนวางค์ขาด )
ชื่อกลุ่มดาวฤกษ์เหล่านี้บางที่เขียนต่างกันบ้าง แต่มักอ่านใกล้เคียงกัน ให้ดูเอาตามองศา และ ราศีเป็นหลักในการดูกลุ่มฤกษ์ว่าอยู่ในฤกษ์ใด
4. แล้วโบราณท่านยังแบ่งเป็นอีก 9 ฤกษ์ใหญ่ สลับกันไปใน ตำแหน่งจุดตัดสุดนวางค์ขาด เพื่อใช้ประกอบฤกษ์บน โดยให้เป็นฤกษ์ล่าง มีดังนี้
4.01 ทลิทโทฤกษ์ ตรงกับ ชนมนักษัตร ของทางภารตะ
4.02 มหัทธโนฤกษ์ ตรงกับ สมบัติ ของทางภารตะ
4.03 โจโรฤกษ์ ตรงกับ วิบัติ ของทางภารตะ ( มีนักษัตรพิษให้โทษ )
4.04 ภูมิปาโลฤกษ์ ตรงกับ เกษม ของทางภารตะ
4.05 เทศาตรีฤกษ์ ตรงกับ ปรัตยุระ ของทางภารตะ ( มีนักษัตรพิษให้โทษ )
4.06 เทวีฤกษ์ ตรงกับ สาธะกะ ของทางภารตะ
4.07 เพชฌฆาตฤกษ์ ตรงกับ นิธนะ ของทางภารตะ ( มีนักษัตรพิษให้โทษ )
4.08 ราชาฤกษ์ ตรงกับ มิตระ ของทางภารตะ
4.09 สมโณฤกษ์ ตรงกับ ปรมมิตระ ของทางภารตะ
เมื่อเราไล่จากกลุ่ม ดาวฤกษ์ ลงมาก็จะมาถึง ดาวเคราะห์ ( Planet ) ที่เราจะใช้กันในโหราศาสตร์ มีดาวดังนี้ จันทร์ , พุธ , ศุกร์ , อังคาร , พฤหัส , เสาร์ , ยูเรนัส , เนปจูน , พลูโต , ราหูและเกตุของสากล ( จุดตัดระหว่างวงโคจรของจันทร์ที่โคจรรอบโลก กับของโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ) และ สุดท้ายจุดคำนวณเกตุไทย ซึ่งอันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่า ท่านนายมี ลงกาใหม่ ท่านได้คำนวณจากสิ่งใดแต่ก็เป็นที่ยอมรับว่าใช้ได้ดีในวงการโหราศาสตร์ไทย
.........ข้าพเจ้าขอยกเรื่องฤกษ์ในแนวของท่าน พ.ต. หลวงวุฒิรนพัศดุ์ มาเป็นแนวทางให้เรื่องฤกษ์เป็นท่านแรก และ อาจแทรกแนวความคิดตามแนวข้าพเจ้าและบางตำราลงไปบ้างเล็กน้อย จึงจำต้องกราบสักการะแด่ท่านหลวงวุฒิฯ และ อาจารย์ของข้าพเจ้าที่มีจิตเมตตาชี้นำให้ข้าพเจ้านำเรื่องฤกษ์นี้มาแสดงแก่ท่านทั้งหลายเพื่อเป็นการศึกษา อาจารย์ของข้าพเจ้าท่านได้กล่าวว่าท่านพยายามหลายครั้งหลายหนแล้วที่จะนำตำราของท่านหลวงวุฒิฯ มาแสดงให้ได้ศึกษากัน แต่ท่านอาจารย์เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าท่านทำไม่เคยสำเร็จสักทีไม่ทราบว่าเป็นอะไร บางครั้งพิมพ์เสร็จเครื่องก็มีปัญหาข้อมูลหายไป หรือ มีเหตุขัดข้องเป็นประจำ ท่านจึงขอให้ข้าพเจ้าให้ช่วยพิมพ์คำนำของท่านหลวงวุฒิฯ ลงในนี้ด้วยเพื่อให้ทราบเจตนารมณ์ของท่านหลวงวุฒิฯ (หาใช่งมงายแต่อาจารย์ข้าพเจ้าเจอเหตุการณ์เช่นนี้บ่อย ท่านจึงนำมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง แล้วให้ข้าพเจ้าลองเอามาพิมพ์ดูบ้างว่าจะสำเร็จหรือไม่ ) ขอผลบุญนี้จงบังเกิดแด่ ท่านหลวงวุฒิฯ และ อาจารย์ขอข้าพเจ้าด้วยเทอญ.
คำนำ ของท่านหลวงวุฒิรณพัศดุ์ มีใจความดังนี้
.........อันฤกษ์นั้น แปลตามความหมายว่า เวลาอันเป็นศุภมงคล กิจการใดๆ ที่จะกระทำเพื่อความสุขความเจริญ วัฒนาถาวร ความสำเร็จเพื่อสิทธิ ฯลฯ ผู้เป็นเจ้าของงานหรือผู้เป็นหัวหน้างานแห่งกิจการนั้นๆ ควรกระทำตามคราวและเวลาอันเป็นศุภมงคลแก่ตน ถ้าเป็นการกระทำในส่วนสาธารณะไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของแล้วก็ต้องคิดถึงความมั่นคงให้แก่สถานที่หรือสิ่งที่สร้างเป็นส่วนใหญ่ไม่ต้องคำนึงถึงส่วนบุคคล แต่ต้องเลือกวันและเวลาให้เป็นศุภมงคล เวลาที่มีฤกษ์งามยามดีโบราณเราถือกันว่าเป็นฤกษ์เป็นแม่แรงอันสำคัญในการเริ่มกิจการทั้งปวง ผู้ที่จะประสิทธิ์ประสาทเวลาอันดีงามดังกล่าวแล้วคือโหราหรือผู้มีความรู้ทางให้ฤกษ์ ซึ่งผู้เป็นเจ้าของงานหวังพึ่งและเชื่อถือ เพื่ออุปการะความเป็นมนุษยชาติด้วยกัน และ บำเพ็ญผลตามมติโหราศาสตร์นิยม จึงเห็นว่าควรมีตำราในการให้ฤกษ์ไว้สำหรับผู้สนใจต่อไป ตำหรับเดิมของเก่าและตำราที่มีผู้พิมพ์จำหน่ายมาแล้วก็พอมีอยู่บ้างแต่ยังไม่แพร่หลาย ความมุ่งหวังอันนี้ทางสมาคมโหรแห่งประเทศไทย จึงได้กำหนดวิชานี้เข้าอยู่ในบทเรียนด้วย ข้าพเจ้า(หลวงวุฒิฯ)ถูกเป็นผู้สอนจึงได้รวบรวมตำราวิธีการให้ฤกษ์ นี้ขึ้น แต่ขอจง ถือว่าเป็นเพียงความรู้ความเห็นที่ข้าพเจ้าได้พยายามศึกษามาแล้วเท่านั้น ซึ่งท่าน(รู้อาจเพิ่มเติมหรือตัดทอนได้ตามมติอันสมควร
.........กฎเกณฑ์ของการให้ฤกษ์นั้นมีมากมายหลายวิธีหลายตำราด้วยกัน ยากที่จะกำหนดมิให้ขัดแย้งแก่ตำตำราทุกเล่มได้อย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นกฎเกณฑ์บางข้อจึงได้กล่าวไว้ว่าจำเป็นต้องถืออย่างเคร่งครัดหรือไม่เพียงใด ถึงกระนั้นก็ดี ในข้อที่เห็นว่าจำเป็นทั้งหลายก็ยังนับว่ายากนักยากหนาที่จะหาวันเวลาแห่งฤกษ์ให้สมบูรณ์ได้ดั่งใจนึก ผู้ให้ฤกษ์ต้องใช้ความพิจารณาใคร่ครวญ ในการตัดสินใจเลือกเอาในโอกาสที่ดีมากกว่าร้าย พยายามให้ดีกลบลบร้ายอันควรหลีกให้พ้นนั้นเสีย ผลสุดท้ายคงมีเหลือส่วนดีก่ำเกินส่วนร้ายอยู่ก็นับว่าเป็นฤกษ์ที่พอใช้ได้ ควรใช้ความละเอียดรอบครอบเพื่อหลีกเลี่ยงความพลั้งเผลอบางอย่าง หรือ ความผิดพลาดในการคำนวณนั้น เป็นสาระสำคัญอย่างหนึ่งในการให้ฤกษ์ ท่านจะเสียใจไม่รู้หายในการให้ฤกษ์ผิดพลาดซึ่งจะเป็นไปด้วยประการใดก็ดี เพราะผู้มาขอฤกษ์ย่อมหวังพึ่ง และ เชื่อถือเกียรติคุณของผู้ให้ฤกษ์อย่างเต็มที่
.........มีคำกล่าวแย้งอยู่ทางหนึ่งว่า ฤกษ์ดีนั้นอยู่ที่โอกาสอำนวย คือ คล่องอกคล่องใจเมื่อใดก็เป็นฤกษ์ดีได้เมื่อนั้น อย่างหนุ่มสาวรักกันแล้วตามกันไปโดยไม่ต้องหาฤกษ์ เขารักกันนักกันหนา เขาพากันหนี เขามั่งเขามีถมไป ดังนี้เป็นตัวอย่างข้าพเจ้าเห็นว่าข้อนี้เป็นเพียงอาจจะเท่านั้น เพราะโอกาสบางคราวอาจตรงกับวันและเวลาฤกษ์ที่ดีก็ได้ ส่วนการคล่องใจนั้นอาจจะค่อนข้างดีเสมอไปก็พอฟัง แต่เพื่อความไม่ประมาทด้วยประการทั้งปวง ล้อมรั้วไว้ก่อนขโมยเข้านั้นจะดีกว่า วัวหายแล้วค่อยล้อมคอก
.........โอกาสนี้ข้าพเจ้าขออภิวันท์แด่ ท่านบูรพาจารย์ ที่สร้างสรรค์คิดค้นวิธีการให้ฤกษ์ขึ้นไว้ และ บรรดาครูผู้สอนแนะนำข้าพเจ้าในเรื่องนี้ อาทิ คุณพระญาณเวท (ศุข ศุขโชติ) , พันเอกหลวงธรณีนิติญาณ (สวัสดิ์ ธรณีนิติญาณ) ซึ่งท่านทั้ง 2 ท่านนี้ได้ถึงแก่กรรมไปหมดสิ้นแล้ว ขอจงได้รับส่วนผลบุญอันข้าพเจ้าได้สร้างไว้ในอดีตก็ตามในอนาคตก็ตาม ข้าพเจ้าขออุทิศให้ด้วยความกตเวทีเคารพ ขอให้ท่านได้ประสบแต่ความสุขในสัมปรายภพนั้น เทอญ.
และนี่เป็นคำนำของ ท่าน พ.ต. หลวงวุฒิรณพัศดุ์ ที่อาจารย์ข้าพเจ้ากำชับว่าถ้าท่านมอบตำรานี้ให้แก่ข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะนำเผยแพร่ ให้ข้าพเจ้าเผยแพร่คำนำนี้ด้วยทุกครั้ง ข้าพเจ้าจึงทำตามที่อาจารย์ข้าพเจ้าสั่งไว้ทุกประการ
.........วันนี้ก็เปรียบดั่งการไหว้ครูเรื่องฤกษ์ แล้วคราวหน้าข้าพเจ้าจะมาต่อในเรื่องฤกษ์กัน ทั้งเกี่ยวกับฤกษ์กำเนิด และ ความรู้เบื้องต้นในฤกษ์กันต่อ ต่อไปข้าพเจ้าขอไหว้ครูข้าพเจ้าบ้างที่ท่านได้แนะนำแก่ข้าพเจ้า ทั้งท่าน อ.อรุณ , อ.สอ้าน , อ.เทพ , อ.ยอดธง , อ.สิงโต ฯลฯ ขอให้ผลบุญในการเผยแพร่ครั้งนี้จงมีแด่ทุกท่านด้วยเทอญ.
.........และการเผลแพร่ครั้งนี้ เนื่องจากมีหลายท่านที่สนใจวิชาโหราศาสตร์ และ ได้พูดคุยกับข้าพเจ้าว่าเขาหาซื้อตำราบางเล่มไม่ได้ เนื่องจากบางเล่มไม่มีวางจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว หรือ บางท่านก็อยู่ในต่างจังหวัดไม่มีโอกาสได้ศึกษาตำราดีๆ มากนัก หรือ บางท่านก็ขาดทุนทรัพย์ในการหาซื้อตำรามาศึกษา อาทิมีเด็กคนหนึ่งอยู่เชียงใหม่ที่เคยคุยกับข้าพเจ้าทาง Mail เขาบอกข้าพเจ้าว่าเขารักและสนใจวิชานี้มาก แต่หาตำราดีๆ ศึกษาไม่ได้เลยที่เชียงใหม่ก็ไม่ค่อยมีวางจำหน่ายตำราเก่าๆ เช่นนี้ ตั้งแต่วันนั้นทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าจะมาทำหน้าที่ให้ข้อมูลจะเป็นการดีกว่า ใครใคร่จะเก็บข้อมูลก็เข้ามาเก็บได้เพราะการให้ข้อมูลของข้าพเจ้ามิได้หวังทรัพย์สินแต่ประการใดเป็นไปด้วยสาธารณะ มาตักตวงไปเถิดของฟรียังมีในโลก มารีบตักกันไปความรู้นั้นยิ่งตักยิ่งฉลาด และ ข้าพเจ้ามีเคล็ดในการใช้ฤกษ์ตามที่ท่าน Nemoo แนะนำมาคือ การที่เราซื้ออะไรให้เก็บใบเสร็จนั้นไว้ แล้วนำมาคำนวณหรือดูว่า ขณะที่เราซื้อสินค้านั้นเป็นเวลาใด จันทร์เสวยฤกษ์อะไร ดาวอื่นเป็นเช่นไร แล้วมาติดตามกันว่าสินค้าที่ซื้อมานั้น จะอยู่กับเรานานไหม จะเสียหรือไม่ หรือซื้อปุบแล้วต้องนำไปเปลี่ยนเลย ลองขยันเก็บมาศึกษาเล่นดูครับ ข้าพเจ้าว่าสนุกดีนะ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็เก็บเช่นนั้น คราวหน้ามาต่อกันอีกนะครับ เมื่อข้าพเจ้าว่างจะมาต่อให้ทันที รออ่านกันต่อไปแล้วกัน วันนี้ข้าพเจ้าจะไปหอสมุดแห่งชาติไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติมให้อีก ไปก่อนละครับ ยามชาติต้องการและข้าพเจ้าว่าง เรามาเจอกันอีกครั้ง
.........ก่อนจะเรียนรู้วิธีการให้ฤกษ์จำต้องเข้าใจในเรื่อง ขันธฤกษ์ คือหมู่หมวดต่างๆ ของฤกษ์เป็นปฐมบทเสียก่อน เพราะเป็นมูลเหตุแห่งฤกษ์ มีหมวดกองฤกษ์ตามลำดังดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ว่าด้วยนวางค์
.........นวางค์ แปลว่า 9 โดยแบ่งราศีๆ หนึ่งเป็น 9 ส่วน ( 1 ราศี 30 องศา มี 9 นวางค์ๆ ละ 3 องศา 20 ลิปดา ) มีนามตามลำดับ ตั้งแต่นวางค์ลูกที่ 1 9 ดังนี้
1. ปฐมนวางค์
2. ทุติยะนวางค์
3. ตติยะนวางค์
4. จตุตถะนวางค์
5. ปัญจมะนวางค์
6. ฉัฐมะนวางค์
7. สัตตมะนวางค์
8. อัฏฐมะนวางค์
9. นวมะนวางค์
.........นวางค์ใดที่ขึ้นอยู่กับ ตรียางค์ ที่เป็นลูกพิษ หรือ ตรงกับบาทฤกษ์ที่ขาดแตก เป็นนวางค์ที่ให้โทษไม่ควรแก่การมงคล ดังจะอธิบายต่อไปข้างหน้า
ข้อ 2 ว่าด้วยตรียางค์
......... ตรียางค์ แปลว่า 3 โดยจะแบ่ง 1 ราศีออกเป็น 3 ส่วนๆ ละ 10 องศา ฉะนั้น 1 ตรียางค์ จะเท่ากับ 3 นวางค์ เรียกนามตามลำดับตรียางค์ 1 3 ดังนี้
1. ปฐมตรียางค์
2. ทุติยะตรียางค์
3. ตติยะตรียางค์
ฉะนั้น 1 ราศีจึงมี 3 ตรียางค์ และ ก็ถูกกำหนดกฎเกณฑ์เป็นตรียางค์ลูกพิษ ราศีละ 1 ตรียางค์ ตามเกณฑ์ดังนี้
.........ราศี เมษ , กันย์ , ธนู และ มีน ให้ปฐมตรียางค์แรก ของ 4 ราศีนี้ ต้องลูกพิษ นาค
.........ราศี พฤษภ , สิงห์ , ตุลย์ และ กุมภ์ ให้ทุติยะตรียางค์ที่ 2 ของ 4 ราศีนี้ ต้องลูกพิษ ครุฑ
.........ราศี เมถุน , กรกฎ , พิจิก และ มกร ให้ตติยะตรียางค์ที่ 3 ของ 4 ราศีนี้ ต้องลูกพิษ สุนัข หรือ เขี้ยวหมู
ตรียางค์ ที่ต้องลูกพิษนั้นท่านว่าเป็นตรียางค์ที่ร้าย ให้โทษภัย มิควรให้ฤกษ์วางลัคนา ที่ตรียางค์ต้องลูกพิษเป็นอันขาด
ข้อ 3 ว่าด้วยหมู่ดาวฤกษ์
.........หมู่ดาวฤกษ์ ( พระอาทิตย์ ) คือ หมู่พระอาทิตย์ หรือ ดาวฤกษ์ที่อยู่ประจำที่ แล้วพระจันทร์ของเราโคจรผ่านเข้าไปในหมู่ดาวฤกษ์นั้น เมื่อพระจันทร์โคจรผ่านครบ 27 หมู่ฤกษ์ ก็จะเป็นเวลา 1 เดือนตามหลักจันทรคติ และ เราจึงสมมติชื่อกลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง 27 หมู่ตามความหมายของรูปหมู่ดาว ซึ่งคล้ายคลึงกับ กลุ่มดาวฤกษ์ในหมู่นักษัตร แล้วเราก็ตั้งนามให้แก่หมู่กลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง 27 กลุ่มนั้น ดังนี้
01. กลุ่มดาวม้า ทั้ง 7 ดวง เรียกว่า อัศวินี หมวดฤกษ์ ทลิทโท มีพระอัศวิน เป็นเทพประจำฤกษ์
02. กลุ่มดาวแม่ไก่ ทั้ง 3 ดวง เรียกว่า ภรณี หมวดฤกษ์ มหัทธโน มีพระยามะ เป็นเทพประจำฤกษ์
03. กลุ่มดาวลูกไก่ ทั้ง 8 ดวง เรียกว่า กฤตติกา หมวดฤกษ์ โจโร มีพระอัคนี เป็นเทพประจำฤกษ์
04. กลุ่มดาวจมูกม้า ทั้ง 7 ดวง เรียกว่า โรหิณี หมวดฤกษ์ ภูมิปาโล มีพระประชาบดี เป็นเทพประจำฤกษ์
05. กลุ่มดาวหัวเนื้อ ทั้ง 3 ดวง เรียกว่า มฤคศิรษะ หมวดฤกษ์ เทศาตรี มีพระโสม เป็นเทพประจำฤกษ์
06. กลุ่มดาวฉัตร ทั้ง 1 ดวง เรียก อารทรา หมวดฤกษ์ เทวี มีพระรุทระ เป็นเทพประจำฤกษ์
07. กลุ่มดาวสำเภา ทั้ง 3 ดวง เรียก ปุนัพพสุ หมวดฤกษ์ เพชฌฆาต มีพระอทิติ เป็นเทพประจำฤกษ์
08. กลุ่มดาวปุยฝ้าย ทั้ง 5 ดวง เรียก ปุษย หมวดฤกษ์ ราชา มีพระพฤหัสมุนี เป็นเทพประจำฤกษ์
09. กลุ่มดาวแมว ทั้ง 5 ดวง เรียก อสิเลส หมวดฤกษ์ สมโณ มีพระสาระปะ เป็นเทพประจำฤกษ์
10. กลุ่มดาววานร ทั้ง 5 ดวง เรียก มาฆะ หมวดฤกษ์ ทลิทโท มีพระปิตะเร เป็นเทพประจำฤกษ์
11. กลุ่มดาวเพดานหน้า ทั้ง 2 ดวง เรียก ปุรพผลคุนี หมวดฤกษ์ มหันธโน มีพระภาคะ เป็นเทพประจำฤกษ์
12. กลุ่มดาวเพดานหลัง ทั้ง 2 ดวง เรียก อุตตรผลคุนี หมวดฤกษ์ โจโร มีพระอรัยยมัน เป็นเทพประจำฤกษ์
13. กลุ่มดาวฝ่ามือ ทั้ง 5 ดวง เรียก หัตถ หมวดฤกษ์ ภูมิปาโล มีพระสวิตะ เป็นเทพประจำฤกษ์
14. กลุ่มดาวจรเข้ ทั้ง 1 ดวง เรียก จิตรา หมวดฤกษ์ เทศาตรี มีพระตวัษฏฤ เป็นเทพประจำฤกษ์
15. กลุ่มดาวช้างพัง ทั้ง 4 ดวง เรียก สาติ หมวดฤกษ์ เทวี มีพระวายุ เป็นเทพประจำฤกษ์
16. กลุ่มดาวเขากระบือ ทั้ง 3 ดวง เรียก วิสาข หมวดฤกษ์ เพชฌฆาต มีพระอินทรคณะ เป็นเทพประจำฤกษ์
17. กลุ่มดาวหมี ทั้ง 4 ดวง เรียก อนุราช หมวดฤกษ์ ราชา มีพระมิตระ เป็นเทพประจำฤกษ์
18. กลุ่มดาวช้างใหญ่ ทั้ง 14 ดวง เรียก เชษฎา หมวดฤกษ์ สมโณ มีพระอินทระ เป็นเทพประจำฤกษ์
19. กลุ่มดาวช้างน้อย ทั้ง 9 ดวง เรียก มูล หมวดฤกษ์ ทลิทโท มีพระนิริติ เป็นเทพประจำฤกษ์
20. กลุ่มดาวแรดตัวผู้ ทั้ง 3 ดวง เรียก ปุพพาสาฬห หมวดฤกษ์ มหัทธโน มีพระอาปะหะ เป็นเทพประจำฤกษ์
21. กลุ่มดาวแรดตัวเมีย ทั้ง 5 ดวง เรียก อุตราสาฬห หมวดฤกษ์ โจโร มีพระวิษเวเทวะ เป็นเทพประจำฤกษ์
22. กลุ่มดาวคนจำศีล ทั้ง 3 ดวง เรียก ศรวณะ หมวดฤกษ์ ภูมิปาโล มีพระวิษณุ เป็นเทพประจำฤกษ์
23. กลุ่มดาวกา ทั้ง 4 ดวง เรียก ธนิษฐา หมวดฤกษ์ เทศาตรี มีพระวสุเทวะ เป็นเทพประจำฤกษ์
24. กลุ่มดาวงูเลื้อย ทั้ง 4 ดวง เรียก ศตภิษัช หมวดฤกษ์ เทวี มีพระวรุณ เป็นเทพประจำฤกษ์
25. กลุ่มดาวราชสีห์ตัวผู้ ทั้ง 2 ดวง เรียก ปุพพภัทรบท หมวดฤกษ์ เพขฌฆาต มีพระอชเอกบาท เป็นเทพประจำฤกษ์
26. กลุ่มดาวราชสีห์ตัวเมีย ทั้ง 2 ดวง เรียก อุตราภัทรบท หมวดฤกษ์ ราชา มีพระอศิรพูทัยนะ เป็นเทพประจำฤกษ์
27. กลุ่มดาวปลาตะเพียน ทั้ง 36 ดวง เรียก เรวดี หมวดฤกษ์ สมโณ มีพระปูษัณ เป็นเทพประจำฤกษ์
ชื่อของแต่ละฤกษ์อาจเรียกแตกต่างกันออกไปบ้างตามแต่ละตำรา และ ความเห็นของแต่ละอาจารย์ เพราะของเรานั้นถอดความมาจากภาษาอินเดีย ฉะนั้นแต่ละที่อาจเรียกไม่เหมือนกัน ส่วนตำราดาวฤกษ์ของทางภารตะ เขาจะแบ่งออกถึง 28 ฤกษ์ โดยมีฤกษ์มากกว่าไทยเรา 1 ฤกษ์ ซึ่งมีชื่อว่า Vega ซึ่งอยู่ระหว่าฤกษ์ที่ 21 ( อุตราสาฬห ) กับฤกษ์ที่ 22 ( ศรวณะ ) ไทยเราเรียกว่า ฤกษ์อพิชิต โดยมีพระพรหม เป็นเทพเจ้าประจำฤกษ์ มีดาวอยู่ 1 ดวง ส่วนเทพเจ้าที่ปกปรักรักษาฤกษ์ในแต่ละฤกษ์นั้น ข้าพเจ้าไม่ขอเล่าเพราะจะยาวมาก หากท่านใดสนใจไปหาอ่านเอาในนิทาน มหากาพท์ หรือ คัมภีร์พระเวทย์ ของอินเดียเอา หรือ ถามท่านผู้รู้เกี่ยวกับเทพเจ้าของอินเดียอีกที ก็จะพอได้ทราบว่าเทพเหล่านั้น เป็นเทพอะไรกันบ้าง
ถ้าท่านใดมีแผ่นจานหมุน หรือ รูปของตำแหน่งฤกษ์ ก็นำมาประกอบแล้วพิจารณาดูตามจะเห็นได้ชัดเจนตามที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปนี้
ข้อ 4 การจัดหมู่ดาวฤกษ์ เป็นหมวดกอง
.........เมื่อ 1 จักรราศี มี 12 ราศี และ 27 ฤกษ์ ราศีหนึ่งมี 9 นวางค์ ฉะนั้น 1 จักรราศีจึงมี 108 นวางค์ ฤกษ์หนึ่งมี 4 ลูกนวางค์ แต่คำว่านวางค์ในฤกษ์นี้ไม่นิยมเรียกกัน เพราะคำว่านวางค์เป็นส่วนของตรียางค์ จึงมักเรียก นวางค์ ว่า บาทฤกษ์ มีพระเคราะห์ประจำเกษตรประจำบาทฤกษ์คือ พระเคราะห์เกษตรประจำนวางค์นั่นเอง ดังจะอธิบายต่อไปนี้
.........ฤกษ์ที่ 1 เริ่มจาก สันปุรัตถิมา ( ศูนย์ตะวันออก ) คือเส้นขั้วระหว่างราศีเมษ กับ ราศีมีนต่อกัน แล้วจึงเวียนซ้ายมาทางราศีพฤษภ จนครบ 4 ลูกนวางค์เป็นสุดเขตของฤกษ์ที่ 1 ส่วนฤกษ์ที่ 2 ที่ 3 ฯลฯ ก็รับช่วงต่อกันตามลำดับจนครบทั้ง 27 ฤกษ์ สุดท้ายที่ราศีมีน เราเรียกทั้งหมดว่าหมู่ดาวฤกษ์
ดาวฤกษ์ทั้ง 27 หมู่นั้น ถูกจัดไว้เป็น 3 กอง คือ:-
กองที่ 1 ตั้งแต่ฤกษ์ที่ 1 ถึงฤกษ์ที่ 9 จาก 00.00 องศาของราศีเมษ ถึง 30.00 องศาของราศีกรกฎ
กองที่ 2 ตั้งแต่ฤกษ์ที่ 10 ถึงฤกษ์ที่ 18 จาก 00.00 องศาของราศีสิงห์ ถึง 30.00 องศาของราศีพิจิก
กองที่ 3 ตั้งแต่ฤกษ์ที่ 19 ถึงฤกษ์ที่ 27 จาก 00.00 องศาของราศีธนู ถึง 30.00 องศาของราศีมีน
.........ต่อจากนี้ เอาบาทฤกษ์ลำดับที่ 1 9 ของกองทั้ง 3 มารวมกันตามลำดับเป็นหมวดๆ ละ 3 ฤกษ์ คงเป็น 9 หมวด แล้วตั้งชื่อประจำหมวดใหม่เป็นชื่อสำหรับหมวดฤกษ์ ส่วนชื่อฤกษ์ทั้ง 27 หมู่ตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นเป็นชื่อเฉพาะความหมายของหมู่ดาวฤกษ์แต่ละหมู่ตามรูปนักษัตรต่อเมื่อนำมารวมเป็น 9 หมวดแล้วจึงได้ขนานนามขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นความหมายของฤกษ์ที่จะใช้ทำการโดยตรง ไม่ใช่ของหมู่ดาว แล้วจะกล่าวในบทต่อไป
ข้อ 5 ว่าด้วยหมวดฤกษ์
......... หมวดที่ 1 ได้แก่ฤกษ์ที่ 1 , 10 และ 19 เรียกว่า ทลิทโทฤกษ์ แปลว่า ผู้มักน้อย ผู้เข็ญใจ ผู้ขอ ผู้ต้องเหน็ดเหนื่อย ผู้อดทน ผู้ที่ต้องรับผิดชอบสูง ฤกษ์นี้เป็นฤกษ์ของ ชูชก มีพระอาทิตย์เป็นผู้รักษาฤกษ์ บาทฤกษ์ทั้ง 4 อยู่ในราศีเดียวกันเป็น บูรณะฤกษ์ คือฤกษ์ที่เต็มโดยสมบูรณ์ คือฤกษ์ที่ไม่ขาดแยกแตกบาทฤกษ์ไปอยู่คนละราศี และเรียกว่า จัตตุรฤกษ์ หรือ ขันธฤกษ์ เป็นฤกษ์ที่ใช้สำหรับการขอสิ่งต่างๆ เพราะถือว่าเป็นฤกษ์ของชูชก จะทำการขอสิ่งใดก็ง่าย เช่น การขอแต่งงาน ทวงหนี้ กู้ยืม ร้องทุกข์ การทำการใดๆ เพื่อให้ผู้อื่นสงสารกรุณา เปิดร้านขายของชำ ของเก่าชำรุด สมัครงาน ทำการใดๆ ที่ริเริ่มใหม่
หมวดที่ 2 ได้แก่ฤกษ์ที่ 2 , 11 และ 20 เรียกว่า มหัทธโนฤกษ์ แปลว่า คนมั่งมี ผู้รุ่งเรือง เศรษฐี มีพระจันทร์เป็นผู้รักษาฤกษ์ บาทฤกษ์ทั้ง 4 อยู่ในราศีเดียวกันเป็น บูรณะฤกษ์ เป็นฤกษ์ที่ใช้สำหรับการมงคลต่างๆ เช่น ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน ปลูกสร้างอาคาร ธุรกิจการเงิน การค้าอุตสาหกรรม เปิดห้างร้าน ลาสิกขาบท สะเดาะเคราะห์ และ สารพัดงานมงคล
.........หมวดที่ 3 ได้แก่ฤกษ์ที่ 3 , 12 และ 21 เรียกว่า โจโรฤกษ์ แปลว่า โจร ผู้ปล้น ผู้ลักขโมย นักเลง ผู้ใช้กำลัง ผู้ทำลายล้าง ผู้กล้าหาญมีอำนาจ ผู้ว่องไว มีพระอังคารเป็นผู้รักษาฤกษ์ ฤกษ์บาททั้ง 4 ไม่รวมอยู่ในราศีเดียวกัน คาบเกี่ยวอยู่ 2 ราศีเป็น ฉินทฤกษ์ คือ ฤกษ์ขาดแตก โดยเฉพาะบาทแรกของต้นราศีนั้น เป็นฤกษ์บาทที่ร้ายแรงมากกว่าบาทอื่น เป็นนวางค์ที่ร้ายแรงมาก ไม่ควรให้ฤกษ์มงคล โบราณใช้ในการปล้นค่าย จู่โจมโดยฉับพลัน ข่มขวัญ บีบบังคับ ทำการปราบปราม การแข่งขันช่วงชิง การแย่งอำนาจและผลประโยชน์ งานเสี่ยงๆ ในระยะสั้นๆ การปฏิวัติ งานของบุคคลในเครื่องแบบแบใช้กำลัง
.........หมวดที่ 4 ได้แก่ฤกษ์ที่ 4 , 13 และ 22 เรียกว่า ภูมิปาโลฤกษ์ แปลว่า ผู้รักษาแผ่นดิน มีพระพุธเป็นผู้รักษาฤกษ์ บาทฤกษ์ทั้ง 4 อยู่ในราศีเดียวกันเป็น บูรณะฤกษ์ ใช้ในการมงคลต่างๆ งานที่ต้องการความมั่นคงถาวร งานเกี่ยวกับที่ดิน การเกษตร การเช่าซื้อ ก่อสร้าง ปลูกเรือน ยกศาลพระภูมิ แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ลาสิกขาบท เปิดอาคารห้างร้าน และ สารพัดงานมงคลทั้งปวง
.........หมวดที่ 5 ได้แก่ฤกษ์ที่ 5 , 14 และ 23 เรียกว่า เทศาตรีฤกษ์ แปลว่า ข้ามท้องถิ่น หญิงแพศยา ผู้ท่องเที่ยว บางคราเรียกว่า เวสิโยฤกษ์ หมายถึงฤกษ์พ่อค้า-แม่ค้า มีพระเสาร์เป็นผู้รักษาฤกษ์ บาทฤกษ์ทั้ง 4 อยู่ปลายราศีหนึ่ง และ ต้นราศีหนึ่ง แห่งละ 2 บาทฤกษ์ คือคาบเกี่ยวอยู่ราศีละครึ่ง คือในราศี พฤษภกับเมถุน , กันย์กับตุลย์ และ มกรกับกุมภ์ เป็นฤกษ์อกแตก หรือ พินทุฤกษ์ หรือ ตินฤกษ์ ใช้ในงานการติดต่อการค้าระหว่างถิ่น เกี่ยวกับความสนุกสนานชักชวนคนเข้าออกมาก เปิดโรงมหรสพ สถานเริงรมย์ ซ่องโสเภณี โรงแรม โรงหนัง ตลาดและศูนย์การค้า การประกอบอาชีพนอกสถานที่ อาชีพเร่ร่อน อาชีพที่ต้องย้ายที่อยู่เสมอ
.........หมวดที่ 6 ได้แก่ฤกษ์ที่ 6 , 15 และ 24 เรียกว่า เทวีฤกษ์ แปลว่า นางพญา ความงามหรูหรา ความมีเสน่ห์ โชคลาภ และ การสมความปรารถนา มีพระพฤหัสฯเป็นผู้รักษาฤกษ์ บาทฤกษ์ทั้ง 4 อยู่ในราศีเดียวกันเป็น บูรณะฤกษ์ เป็นฤกษ์ที่มุ่งให้เกิดโชคลาภ การเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ การหมั้นหมายและสมรส การส่งตัวเจ้าสาวและเข้าห้องหอ การทำกิจการที่ต้องการชื่อเสียงและมีเสน่ห์ งานมีเกียรติ งานเชิงศิลปะตกแต่งชั้นสูง เปิดร้านค้าอัญมณีเครื่องประดับ ร้านเสริมสวย ตัดเย็บเสื้อผ้า การประชาสัมพันธ์ ลาสิกขาบท ขึ้นบ้านใหม่ ขอความรัก งานเพื่อความสงบเรียบร้อย และ สารพัดงานมงคลทั้งปวง
.........หมวดที่ 7 ได้แก่ฤกษ์ที่ 7 , 16 และ 25 เรียกว่า เพชฌฆาตฤกษ์ แปลว่า ผู้ทำหน้าที่ฆ่า มีพระราหูเป็นผู้รักษาฤกษ์ ฤกษ์บาททั้ง 4 แตกขาดกัน และ ตรงข้ามกับ โจโรฤกษ์ เรียกว่า ตรินิเอก คืออยู่ปลายราศี 3 ฤกษ์บาท และ ต้นราศี 1 ฤกษ์บาท ไม่ควรให้ฤกษ์ในการมงคลเลย เป็น ฉันทฤกษ์ ( ฤกษ์แตกขาด ) เหมาะสำหรับ การฟันผ่าอันตรายและอุปสรรค ต่อสู้เสี่ยงภัยต่างๆ อาสางานใหญ่ ทำกิจปราบปรามศัตรู ตัดสินคดีความ ประกอบพิธีไสยศาสตร์ ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ลงเลขยันต์ สร้างวัตถุมงคลแบบคงกระพันชาตรี สร้างสิ่งสาธารณะกุศลสงเคราะห์ เปิดโรงพยาบาล การรักษาโรคเรื้อรังทีหายยากๆ การยาตราทัพ เจิมอาวุธยุทธภัณฑ์ สร้างโบสถ์วิหารการเปรียญ คล้ายกับโจโรฤกษ์ แต่ฤกษ์นี้จะแรงกว่า
.........หมวดที่ 8 ได้แก่ฤกษ์ที่ 8 , 17 และ 26 เรียกว่า ราชาฤกษ์ แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่
ผู้มีอำนาจวาสนา พระเจ้าแผ่นดิน มีพระศุกร์เป็นผู้รักษาฤกษ์ บาทฤกษ์ทั้ง 4 อยู่ในราศีเดียวกัน เรียกว่า บูรณะฤกษ์ เป็นฤกษ์เฉพาะกิจการของผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้นำกิจการขึ้นไปจนถึงพระราชา เหมาะสำหรับงานราชพิธี งานราชการงานเมือง สร้างที่ประทับ งานที่ต้องการชักจูงให้ผู้อื่นดำเนินตาม การเข้ารับตำแหน่งงาน การแสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศ การเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ งานมงคลสมรสที่หรูหรามีเกียรติ ลาสิกขาบท การขึ้นบ้านใหม่(สามัญชนควรเว้น ถ้าหาฤกษ์ไม่ได้ก็พออนุโลมใช้ได้ เพื่อดวงชะตาและความเหมาะสม) และ งานมงคลทั้งปวง
.........หมวดที่ 9 ได้แก่ฤกษ์ที่ 9 , 18 และ 27 เรียกว่า สมโณฤกษ์ แปลว่า (สงบเรียบร้อย นักบวช นักสอนศาสนา มีพระเกตุเป็นผู้รักษาฤกษ์ ฤกษ์บาททั้ง 4 อยู่ปลายราศีเดียวกัน แต่บาทฤกษ์สุดท้ายนี้เป็นนวางค์ขาดสุดราศีพอดี เรียกว่า จัตตุรฤกษ์ หรือ ขันธฤกษ์ จึงเป็นจุดที่มีผลเสียให้เกิดอันตรายต่างๆ ในการแข่งขัน ใช้ได้เฉพาะกิจเกี่ยวกับความสงบความสุจริต เป็นฤกษ์ที่ทำพิธีกรรมทางศาสนา และ ทางนักบวช เช่น การทำขวัญนาค การอุปสมบท หล่อพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เข้ารับการศึกษา และ การกระทำทุกอย่างเพื่อความสงบร่มเย็นเป็นสุข สงเคราะห์ในฤกษ์นี้ได้ เช่น ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญต่ออายุ
สรุปบทอธิบาย
.........บาทฤกษ์ทั้ง 4 ของ โจโรฤกษ์ , เพชฌฆาตฤกษ์ และ เทศาตรีฤกษ์ นั้นเป็นบาทฤกษ์ที่ร้ายทั้งสิ้น ควรงดการมงคล บาทฤกษ์ที่ 1 ของโจโรฤกษ์ ในนวางค์พฤหัสฯซึ่งขาดอยู่ในราศีธาตุไฟ คือ ราศี เมษ , สิงห์ และ ธนู นั้นเรียกว่า เอกตรินิ กับ บาทฤกษ์ที่ 4 ของ เพชฌฆาตฤกษ์ ในนวางค์จันทร์ ซึ่งขาดอยู่ในราศีธาตุน้ำ คือ ราศี กรกฎ , พิจิก และ มีน เรียกว่า ตรินิเอก รวม 6 บาทฤกษ์นี้ร้ายนัก เป็นที่สิ้นทำลายทั่วไป ตามทางพยากรณ์มีว่า เมื่อลัคนาจร หรือ อินทภาษบาทจันทร์ มาตกอยู่ในบาทฤกษ์ทั้ง 6 บาทฤกษ์นี้ หากมีดาวบาปเคราะห์มาทับอีกด้วยแล้ว ท่านว่าดวงชะตาเข้าฆาต ในระหว่างนั้นจะถึงตาย ความรุนแรงเสมอด้วยนวางค์ที่ต้องลูกพิษ จึงห้ามวางลัคนาฤกษ์ให้เกาะอยู่ในบาทฤกษ์เหล่านี้เป็นอันขาด แม้ผุ้เกิดมาก็ดี ถ้าลัคนากำเนิดเข้าเกาะอยู่ในนวางค์ทั้ง 6 นี้ ท่านว่าอับเฉามืดมน มักต้องประสพเหตุการร้ายแรงในชีวิต มิฉะนั้นก็ต้องเป้นคนพิกลพิการ ไปด้วยประการใดประการหนึ่ง
ส่วนบาทฤกษ์ที่ขาดอยู่ในราศีละ 3 บาทฤกษ์ คือบาทฤกษ์ที่ 2 , 3 และ 4 ของโจโรฤกษ์อันได้แก่นวางค์ของ เสาร์ , เสาร์ และ พฤหัสฯ ซึ่งขาดอยู่ในราศีธาตุดิน คือราศี พฤษภ , กันย์ และ มกร ในประเภทเอกตรินิ กับ บาทฤกษ์ที่ 1 , 2 และ 3 ของเพชฌฆาตฤกษ์ อันได้แก่นวางค์ของ อังคาร , ศุกร์ และ พุธ ซึ่งขาดอยู่ในราศีธาตุลม คือ เมถุน , ตุลย์ และ กุมภ์ ในประเภทตรินิเอก รวมทั้ง 18 บาทฤกษ์นี้นับเข้าอยู่ในประเภทร้ายแรงเหมือนกันกับบาทฤกษ์ที่ขาดอยู่ในราศีเพียงบาทฤกษ์เดียว
อีกประเภทหนึ่ง คือ บาทฤกษ์ที่ขาดอยู่ราศีละ 2 บาทฤกษ์ คือบาทฤกษ์ที่ 1 กับ 2 ของเทศาตรีฤกษ์ ได้แก่ นวางค์ของ อาทิตย์ กับ พุธ ซึ่งขาดอยู่ในราศีธาตุดิน คือราศี พฤษภ , กันย์ และ มกร กับ บาทฤกษ์ที่ 3 กับ 4 ของฤกษ์เดียวกันนี้ ได้แก่นวางค์ของ ศุกร์ กับ อังคาร ซึ่งขาดอยู่ในราศีธาตุลม คือราศี เมถุน , ตุลย์ และ กุมภ์ ทั้ง 12 บาทฤกษ์นี้เรียกว่า ตินฤกษ์ หรือ พินทุฤกษ์ ก็นับเข้าอยู่ในประเภทร้ายแรงเช่นกัน แต่รองลงมาจากประเภท เอกตรินิ และ ตรินิเอก
.........ส่วนบาทฤกษ์ต้นของทลิทโทฤกษ์ กับ บาทฤกษ์สุดท้ายของสมโณฤกษ์ นั้นเป็นบาทฤกษ์ที่ไม่สู้ดีนัก ทลิทโทฤกษ์ในฤกษ์บาทที่ 1 เรียกตามศัพท์โหรว่า บาทพยะกะริขัง ได้แก่นวางค์อังคาร ซึ่งเป็นนวางค์ต้นของราศี เมษ , สิงห์ และ ธนู ส่วน สมโณฤกษ์ในฤกษ์บาทที่ 4 เรียกตามศัพท์โหรว่า จัตตุรฤกษ์ ได้แก่นวางค์พฤหัสฯ ซึ่งเป็นฤกษ์บาทสุดท้ายของราศี กรกฎ , พิจิก และ มีน ฉะนั้นจึงให้บาทฤกษ์ทั้ง 2 นี้เป็นบาทฤกษ์ที่ขาดตอนจากกองอื่น ซึ่งถือเป้นหัวเลี้ยวหัวต่อของฤกษ์และราศี ทำให้บาทฤกษ์เหล่านี้เสื่อมไปไม่ควรแก่การมงคลบางอย่าง แต่อย่างไรก็ดียังนับว่ามีส่วนร้ายน้อยกว่าบาทฤกษ์ ที่แตกขาดโดยแยกราศีกันอยู่
.........นอกนั้นเป็นบาทฤกษ์ที่ดีทั้งสิ้น เหมาะแก่การมงคลทั้งปวงตามความหมายฤกษ์
แทรก ฤกษ์กำเนิด
.........เมื่อได้อ่านจากข้อความข้างบน บางท่านถึงกับหวาดกลัวเมื่อทราบว่าฤกษ์กำเนิดของตนเองนั้นไปตกฤกษ์ที่ไม่ดี ทำให้บางท่านเสียกำลังใจอันจะทำให้เกิดผลเสียดั่งที่กังวล นั่นมักเป็นไปอย่างงมงายกันจนมากเกินงาม เราลองพิจารณากันก่อนด้วยปัญญาเถิดว่ามีหลายคนก็ถือกำเนิดมาในฤกษ์ที่ไม่ดีแต่ทำไมเขาจึงไม่เป็นไปตามนั้น มันมีเหตุปัจจัยอะไรบ้าง ก่อนที่เราจะปักใจเชื่อตามโบราณไปเสียทุกอย่างโดยไม่ใช้ปัญญาเข้าจับพิจารณา
.........โบราณนั้นก็มีตัวอย่างให้เราได้ศึกษากัน อาทิ องคุลีมาล พุทธสาวกแห่งพระศาสดาตถาคตเจ้าโคตม ซึ่งบันทึกไว้ว่าถือกำเนิดมาในโจโรฤกษ์ โดยบิดา-มารดาได้ตั้งนามให้เพื่อแก้เคล้ดว่า อหิงสกะ ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ไม่เบียดเบียน แม้กระนั้นก็ตามหาได้ลดความเป็นโจรสังหาร 999 ศพไปมิได้ แถมยังคิดประหารมารดาตนเอง นั้นอหิงสกะเกิดอวิชชาขึ้นเพราะเหตุใด จนมาพบกับพระพุทธองค์ และได้ดื่มด่ำปริศนาตถาคตจนเกิดวิชชา ใช้ปัญญาจับต้องและพิจารณา เช่นนั้น ท่านเห็นว่าอหิงสกะผู้นี้หยุดอิทธิพลของฤกษ์ไม่ดี ด้วยผู้อื่น หรือ ด้วยตนเองเล่า อันจะดีร้ายเรานั่นเองเป็นผู้กำหนด เราไม่หยุดมันแล้วใครเล่าจะหยุดให้เรา ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงพิจารณาเองเถิด อย่าวิตกกังวลต่อฤกษ์กำเนิดให้มากไปนัก ควรพิจารณาจากเหตุปัจจัยเป็นหลัก รู้จักใช้ปัญญาปรับแก้ ฤกษ์กำเนิดนั้นไม่ได้สำคัญไปกว่าการกระทำดอก ดั่งโบราณท่านว่า พรหมลิขิต 3 ส่วน คนนั้นแลกระทำเอง 7 ส่วน โบราณท่านแฝงปริศนาในตำราโหราศาสตร์ไว้มาก จงถอดสลักให้เป็นเถิดจะเกิดมงคล
.........ฤกษ์นั้นโบราณท่านให้ความสำคัญกับพระจันทร์มาก ยามใดที่จันทราโคจรผ่านขอบฟ้าไปยังกลุ่มฤกษ์ใด ราศีใด เวลาใด ท่านว่าย่อมส่งผลถึงคนเรา และ ธรรมชาติด้วย เมื่อคิดคำนวณเก็บสถิติได้เช่นนั้นแล้วก็จดบันทึกตกทอดมายังปัจจุบันให้เราศึกษาถอดรหัสกันต่อไป ซึ่งเมื่อใช้ปัญญา หรือ หลักสถิติพิจารณา เราจะเห็นว่า คนดังๆ หลายๆ ท่านก็มีทั้งถือกำเนิดมาในฤกษ์ที่ว่าดี และ ไม่ดี ทั้งนั้น ฉะนั้นมาฟังการทำนายเล่นๆ จากตำราเล่มหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้อ่านเจอมา เพื่อเป็นการผ่อนคลายหลังจากที่ได้ อ่านเรื่องฤกษ์อย่างเป็นทฤษฎีกันมามากพอแล้ว อันนี้เป็นช่วงพักดื่มน้ำดื่มท่ากัน แล้วมาดูกันสิว่าท่านนั้นอยู่ในฤกษ์ใดกันบ้าง
1. ทลิทโทฤกษ์
.........ตำราโบราณท่านให้เป็นฤกษ์ของชูชก ซึ่งจะเห็นได้ว่าชูชกนั้นมีบ้านช่องแต่กับไม่ค่อยอยู่ ต้องออกเร่ร่อนเพื่อขอบริจาคะ เที่ยวนอนตามป่าเขาลำเนาไพร เที่ยวขอจนร่ำรวย แต่ก็หามีสุขไม่ เมื่อได้ทรัพย์ก็นำไปฝากสหายเก่าว้า แต่ก็ถูกสหายเก่านั้นโกงเสียอีก
.........อันความจนในฤกษ์นั้นโบราณท่าน หาได้จำเพาะว่า จนทางทรัพย์สิน แต่รวมไปถึง จิตใจ ด้อยโอกาส ด้วย ดังนั้นผู้ที่ถือกำเนิดมาในฤกษ์นี้ มักต้องมีวิถีชีวิตที่ต้องเหน็ดเหนื่อยมากสักหน่อย มีเรื่องให้คับข้องใจบ่อยๆ แต่ในมุมกลับกัน ชาวฤกษ์นี้มักมีความอดทนสูง มีความมานะพยายามแสวงหาโอกาสมาก โบราณท่านให้คำจำกัดความว่า ขอทาน แต่ไม่ได้บอกว่ารวยหรือจน บางครั้งก็เป็นเศรษฐีที่ชอบขอ หรือ ชอบของฟรีก็ได้ ท่านเน้นว่าเป็นฤกษ์แห่งการขอ ดังนั้นเราจึงถอดรหัสได้หลายกรณี เช่น ชอบขอความร่วมมือ ขอยศขอศักดิ์ เป็นภาวะของผู้ต้องการอะไรแล้วต้องแสวงหาแต่จะมุ่งไปทางวิธีที่ง่ายกว่า ซึ่งครอบคลุมไปในคนทุกชนชั้นไม่ว่าจะยากดีมีจน วรรณะสูงหรือวรรณะต่ำ
.........ฤกษ์นี้เป็นฤกษ์เพศชาย มีส่วนเสริมให้เจ้าชะตามีบุคลิกนิสัยไปทางบุรุษเพศ มีความอดทนสูง มั่นคง ดื้อดึง มุ่งมั่นแม้จะต้องยากลำบากก็ตาม เป็นผู้มีความรับผิดชอบสูง มักต้องได้รับการอนุเคราะห์ช่วยเหลือหรือร่วมมือจากผู้อื่นในแบบต่างๆกัน
1.1 อัศวินี-ทลิทโทฤกษ์
.....มักเป็นคนขัดสนข้นแค้น แต่ทรงไว้ซึ่งความดีในจิตใจ มีความกตัญญูกตเวทีสูง มักชอบแสวงหาวิชาความรู้ใส่ตนเองเสมอ แต่ก็มักเอาวิชาความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด หรือ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าใดนัก มักขัดแย้งกับผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นคนเอาตัวรอดได้ดี แม้ช่วงต้นของชีวิตจะต้องลำบากมากมายเช่นไร แต่จงจำไว้ว่าบั้นปลายมักประสบความสำเร็จด้วยดี ด้วยความดีที่มีสถิตอยู่ในจิตใจ เป็นคนรู้จักป้องกันตัวเองได้ดี ด้านความรักมักจะสุขสมหวังเอาใจเก่ง โชคดีในการขอความช่วยเหลือสนับสนุนจากผู้อื่น มักขยันหาทรัพย์ได้ไม่ค่อยได้ความสุขจากทรัพย์ที่หามาได้เท่าที่ควร
1.2 มาฆะ-ทลิทโทฤกษ์
.....มักจะเป็นคนมีฐานะดี พร้อมด้วยทรัพย์และข้าทาสบริวาร แต่มักมีบุตรยาก ผู้ใหญ่มักไม่ค่อยให้คุณ มักเสียหายเพราะการไว้ใจคนเกินไป หรือ ถูกครหานิทาบ่อยๆ ผู้กำเนิดในฤกษ์นี้มักเป็นคนหัวอุดมคติ สุขุมเยือกเย็น คงเส้นคงวา รักความยุติธรรม เคารพผู้มีคุณวุฒิหรือวัยวุฒิมากกว่า มักเป็นคนเคร่งเครียด เอาจริงเอาจังคนบางครั้งมองเป็นคนไม่ค่อยเบิกบาน มักมีชีวิตที่เหน็ดเหนื่อย มักเป็นคนชอบซ้อนอารมณ์ หาทรัพย์ได้ยากหรือหาได้แต้องมีภาระรับผิดชอบมาก ชอบเก็บออมและไม่ค่อยได้ใช้ทรัพย์เพื่อประโยชน์สุขของตนมากนัก มักได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นเสมอ
1.3 มูละ-ทลิทโทฤกษ์
.....มักมีความรักที่ไม่ค่อยเป็นไปอย่างที่ต้องการที่ปรารถนา มักผิดหวังเรื่องคู่ครองพลัดพรากจากกัน มักมีความรักที่ต้องซ่อนเร้น อันทำให้ผู้กำเนิดในฤกษ์นี้ต้องเศร้าโศกเสียใจเสมอ มักทำงานเกี่ยวกับพื้นดิน เช่น ก่อสร้าง สถาปนิก วิศวกร งานทางการเกษตร งานสังคมสงเคราะห์ หรือ ทำงานกับชนชั้นล่าง มักมีชีวิตที่เหน็ดเหนื่อย หาทรัพย์ยาก หาได้ก็มักไม่ได้ใช้ให้เพียงพอแก่ความสุขสบายของตนเอง มักชอบเก็บออม มักได้รับความร่วมมือที่ดีบ่อยครั้ง
2. มหัทธโนฤกษ์
.........มหัทธโนฤกษ์ ตามคัมภีร์โบราณท่านให้เป็นคำสั้นๆ ว่าเป็นฤกษ์เศรษฐี เป็นฤกษ์ของเพศชาย มักจะมีความสุขุมรอบคอบ ทำอะไรเชื่องช้าค่อยเป็นค่อยไป มีเหตุมีผล มีความคิดสร้างสรรค์ดี มีศีลธรรมยุติธรรม มองโลกในแง่ดี ใจบุญ ใจอ่อนขี้สงสาร เป็นตัวของตัวเอง มักเป็นคนละเอียดชอบกลั่นกรอง เป็นนักปฏิบัติ เป็นคนโชคดี มีเพื่อนฝูงมากและมักเป็นที่ยอมรับในวงสังคม มักชอบทำอะไรที่โปร่งใส ชอบการลงทุนน้อยได้ผลตอบแทนมาก งานมักคิดโครงการและชอบจับงานใหญ่ๆ
2.1 ภรณี-มหัทธโนฤกษ์
.....ชีวิตในเยาว์วัยมักลำบาก มักถูกกลั่นแกล้ง ถูกใส่ร้ายป้ายสี และ มักรุ่งเรืองได้รวดเร็วอาจประสบความสำเร็จเป็นใหญ่เป็นโตได้แม้ในวัยหนุ่มสาว มักมีศัตรูมากแต่ก็รู้จักหลบหลีกได้ดี และมักจะทำให้ศัตรูเปลี่ยนมาเป็นมิตรได้เก่ง ชีวิตมักค่อยข้างสบาย ทำอะไรได้ผลประโยชน์สูงโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงมาก
2.2 บุรพผลคุนี-มหัทธโนฤกษ์
..มักเป็นคนโกรธขี้หงุดหงิด ตกอยู่ในความโกรธง่ายแล้วมักจะตอกกลับอย่างเจ็บปวดโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม อันอาจเป็นเหตุที่นำมาสู่ความสูญเสียในชีวิตได้พึ่งต้องระวังให้จงมาก มักมีชีวิตค่อนข้างสบาย ประกอบผลประโยชน์อะไรมักไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก มักมีอัตตาสูง และมักคิดว่าอะไรๆ ง่ายไปหมด
2.3 ปุรพษาฒ-มหัทธโนฤกษ์
.....มักชอบคบหาสมาคมกับผู้ที่มีทัศนะแตกต่างกับตน และมักจะขัดแย้งกันในทางทัศนะบ่อย จนอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ ชีวิตมักเจอความขัดแย้งในทัศนะหรือพฤติกรรมนิสัยที่แตกต่างกับตนเองบ่อย ชีวิตนั้นค่อนข้างจะสบาย ทำการค้าก็มักทำกำไรได้สูงโดยไม่ต้องเหน็ดเนื่อยหรือลงทุนอะไรมากมาย และมักเห็นว่าผู้อื่นนั้นด้อยกว่าตนได้บ่อยครั้ง
3. โจโรฤกษ์
.....โบราณกล่าวไว้ว่าผู้เกิดในฤกษ์นี้มักเป็นโจรเป็นนักเลงอันธพาล ข้าพเจ้ามักไม่ค่อยจะเห็นด้วย เพราะเราถอดรหัสมาตรงเกินไป โจโร ก็เหมือนคำว่าจร ซึ่งมีความหมายโดยนัยว่า การเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วไม่หยุดนิ่ง ฉะนั้นโจโรฤกษ์ในทัศนะข้าพเจ้านั้นหมายถึง ผู้ทำอะไรคิดอะไร รวดเร็ว กระทำคล้ายดั่งโจรคือไปเร็วมาเร็ว รีบกระทำให้เสร็จสิ้น สมัยโบราณถ้าผู้ใดมีบุตรที่ถือกำเนิดมาในฤกษ์นี้มักจะต้องทำการสะเดาะเคราะห์แก้เคล็ดให้แก่บุตรหลานกัน หรือ ต้องพยายามเอาใจใส่ให้จงหนักเพื่อมิให้ไปเป็นดังฤกษ์ทำนาย กาลเวลาผ่านไปคนสมัยปัจจุบันหาได้สนใจเช่นนี้ไม่ จึงไม่ค่อยตกใจกับเรื่องนี้มากนัก
....เทาที่เห็นมาคนที่มีฤกษ์กำเนิดในฤกษ์นี้หลายต่อหลายท่าน ก็ไม่เห็นจะเป็นโจรสักราย ฤกษ์อื่นเป็นโจรก็ถมไป (กำเนิดในฤกษ์นี้มักจะมีหน้าที่เกี่ยวกับการใช้กำลัง ใช้อาวุธ การต่อต้านทำลายล้าง งานซิกแซ็กแกมโกง พวกชอบฝืนต่อกฎระเบียบของสังคม และ บางครั้งก็ชอบท้าทายสังคมอย่างสันติ บุคลิกนิสัยของชาวโจโรฤกษ์นั้นก็คล้ายๆ พระอังคารมีบุคลิกคล่องแคล่วว่องไว มีเล่ห์เหลี่ยมสูง ฉลาดแกมโกง หงุดหงิดง่ายโกรธง่ายหายเร็ว ชอบการบริการ มีความกระตือรือร้นสูงตามอาการตกกระทบ ใจกว้างใจนักเลง มักมีอาชีพเกี่ยวกับงานบริการ ทหาร ตำรวจ พนักงานต้อนรับ เป็นต้น มักมีความคิดสร้างสรรค์ แหวกแนว เป็นนักปฏิรูป ไม่ชอบแบบแผนประเพณีที่คร่ำครึไร้เหตุไร้ผล มีลางสังหรณ์ที่แม่นยำ เป็นคนคิดเร็วทำเร็ว เป็นคนที่ผู้อื่นคาดเดายากถึงความคิด หรือ ตามไม่ค่อยทันความคิดของชาวโจโรฤกษ์ มักสนใจปรัชญา ศาสตร์ลี้ลับ วิชาทำนายทายทัก บุคลิกท่วงทีมีเสน่ห์ดึงดูดใจคน ฤกษ์นี้เป็นฤกษ์เพศหญิง
.....ฉะนั้นคนเกิดหรือมีบุตรหลานกำเนิดในฤกษ์นี้ไม่ต้องตกอกตกใจ เกินกว่าเหตุ ว่าจะต้องเป็นโจรต้องขื่อคา เหมือนดั่งบิดาของอหิงสกะ หรือ องคุลีมาลทำ ต้องเปลี่ยนชื่อแก้เคล็ด ผลักไสไล่ส่งไปไกลตัว อาจารย์ก็ไม่เอาแถมหลอกซ้ำเพียงแต่เราใช้ปัญญาจับพิจารณาก็พอจะถอดรหัสนี้ได้ เพราะเขาเป็นอย่างที่กล่าวมาเท่านั้นเองพึงดูแลเอาใจใส่ สอนธรรมให้ถูกทาง ส่งเสริมปลูกฝังเขาให้มีใจเป็นนักกีฬา เป็นศิลปะ อย่าส่งเสริมให้เขาเป็นโจรดั่งที่โบราณกล่าวไว้ รับประกันถ้าจับถูกทางเขาจะไม่มุ่งไปทางร้ายแน่นอน
3.1 กฤตติกา-โจโรฤกษ์
.....ส่งผลให้เป็นคนรูปงาม มีความรู้รอบตัวดี มักสนใจในศิลปศาสตร์ทั้งหลาย มักมีปัญหาเรื่องความรัก มักไปชอบคนที่เขามีคนรักแล้ว หรือ รักคนที่บิดามารดาเขาหวงแหน มักมีนิสัยหยิ่งทรนง แม้แต่ครูบาอาจารย์ ด้วยคิดว่าความคิดตนนั้นเหนือกว่าเก่งกว่า ในด้านเพื่อนฝูงมักจะดีมาก เมื่อดีก็ดีร่วมกันเมื่อร้ายก็พากันร้ายแบบไม่เป้นขบวน เป็นคนกล้าเผชิญกับสิ่งต่างๆ รอบคอบไม่ผลีผลาม มักชอบวางแผนการไว้ก่อนอย่างเหนือชั้น รวมถึงการลอบทำร้าย แย่งชิงได้มาซึ่งการเลื่อยขาเก้าอี้เขา เรื่องความรักมักเป็นคนมีความปรารถนาที่เร่าร้อนและรุนแรง อีกทั้งเอาอกเอาใจคนรักเก่งอีกต่างหาก
3.2 อุตรผลคุนี-โจโรฤกษ์
..มักเป็นคนรูปงาม มีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น มีความรู้ดี มักชอบเรียนรู้ตลอดเวลา ถ้าได้ทำราชการมักเป็นใหญ่เป็นโต ผู้ใหญ่มักให้ความไว้วางใจสนับสนุน คิดอ่านอยากได้อะไรมักได้ดังหวัง แต่มักจะได้มาโดยวิธีที่ไม่ค่อยจะขาวสะอาดนัก ไม่ใช่ได้มาเพราะความสามารถเป็นหลัก มักได้มาเพราะความสามารถพิเศษเฉพาะด้านของตนในทางแกมโกง ช่วงชิง วิ่งเต้นเส้นสาย หรือใช้เล่ห์เพทุบายจนได้มา ฉลาดแกมโกงสูงอันจะพาตัวเองขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงตาม เรื่องความรักมักมีปัญหาเพราะความแกมโกงหรือความเจ้าเล่ห์เอาเปรียบเข้าข้างตัวเองของคุณนั่นเองต้องระวังไว้เป็นพิเศษ มักมีความคิดอ่านรวดเร็วดั่งสายลม มักมีความคิดที่แหวกแนว เป็นนักปฏิรูปปฏิวัติหัวก้าวหน้า ไม่ชอบยึดติขนบธรรมเนียมประเพณีที่ไร้เหตุผล เป็นคนมีลางสังหรณ์ที่แม่นยำ ทำอะไรคิดอะไรผู้อื่นมักตามไม่ค่อยทันหรือดาดเดายาก เป็นนักวางแผนการตัวยงไม่ว่าจะทำสิ่งใด ความรักมักมีความปรารถนารุนแรงและมักเร่าร้อน เอาใจคนที่เรารักเก่ง รักและชอบในปรัชญา มักแสวงหาความหลุดพ้นในส่วนลึกของหัวใจ มักชอบและสนใจค้นคว้าในศาสตร์ลี้ลับ หรือ โหราศาสตร์ มีเสน่ห์ดึงดูดที่มีพลังแบบไม่ธรรมดาเป็นความพิเศษเฉพาะตัว
3.3 อุตราษาฒ-โจโรฤกษ์
..เป็นคนที่มีความวิริยะอุตสาหะมากเหลือ จนผู้อื่นรักใคร่ให้ความเอ็นดู และนับถือในความรู้ความสามารถความพยายามของคุณ เป็นคนบูชาในอุดมคติของความรัก รักใครรักจริงไม่ลืมหูลืมตา ทำทุกอย่างเพื่อคนที่เรารักเพื่อให้ได้เขามาครอบครอง เป็นคนอ่อนไหวกับความรักมาก หากชอกช้ำหรือพลัดพรากสูญเสียความรักไป คนฤกษ์นี้อาจถึงกับคิดอะไรสั้นๆ ได้ หรือ ต้องทุกข์ระทมกับความสูญเสียนั้นเป็นเวลานาน ฉะนั้นคนฤกษ์นี้พึ่งพยายามเพื่อใจเวลารักใครสักคนไว้ครึ่งๆ จะเป็นการดีเผื่อไว้สำหรับเตรียมรับความสูญเสียผิดหวัง ถ้าเป็นสตรีกำเนิดในฤกษ์นี้ให้พึงระวังเกี่ยวกับระบบช่องคลอดสักหน่อย เมื่อยามตั้งครรภ์ มดลูกของคุณมักจะอ่อนแอ มีโอกาสแท้งได้ง่าย หรือ คลอดก่อนกำหนดเวลา หรือ บุตรเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็กอยู่ คนฤกษ์นี้มักต้องการอะไรแล้วต้องได้ดั่งใจหวัง ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีใดก็ตามแต่ดุจก้าวขึ้นบัลลังก์เลือด เพราะฤกษ์นี้ชอบการแย่งชิงมา ซึ่งมันท้าทายความสามารถของคุณได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผู้ใหญ่มักชื่นชมในตัวคุณ ในนิสัยกระตือรือร้น และ พลังที่แฝงอยู่ในตัวคุณ
4.ภูมิปาโลฤกษ์
.....โบราณท่านก็ว่าไว้อีกว่าภูมิปาโลฤกษ์ เป็นฤกษ์ของผู้รักษาแผ่นดิน ฉะนั้นผู้กำเนิดในฤกษ์นี้มักมีนิสัยการเป็นผู้นำติดตัวมา ชอบการปกครอง ถ้ารับราชการ หรือ ทำกิจการที่เกี่ยงข้องกับการเกษตรก็จะรุ่งเรืองตามลำดับ ดีเกี่ยวกับด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สถาปนิก วิศวกร นักผังเมือง ผู้กำเนิดมาในฤกษ์นี้มักจะได้เป็นผู้นำในอาชีพของตน ฤกษ์นี้เป็นฤกษ์เพศชาย คนฤกษ์นี้มักเจ้าความคิด เจ้าปัญหา มักสนใจในศิลปวิทยาในทุกแขนง เป็นคนมีระเบียบ มีเหตุมีผล ระมัดระวังตัวเองสูง มักชอบไตร่ตรองก่อนทำอะไรเป็นประจำ พูดน้อยแต่ต่อยหนัก ซึ่งเหมาะแก่งานปกครองคน อสังหาริมทรัพย์ สิ่งตีพิมพ์ การสื่อสาร บรรณาธิการข่าว ข่าววิทยุโทรทัศน์ ผู้บริหารสื่อต่างๆ เป็นต้น
4.1 โรหิณี-ภูมิปาโลฤกษ์
.....ทำให้เป็นคนที่มักตกอยู่ใต้อำนาจของความโกรธ ความดุร้าย แข็งกร้าว เป็นคนค่อนข้างเด็ดขาด ยามใดที่เกิดโทสะบุคคลรอบข้างมักถูกหางเลขไปตามๆ กัน แต่เมื่อหายจากโทสะชาวฤกษ์นี้มักจะคิดได้ถึงสิ่งที่ตนกระทำลงไป แล้ว สามารถนำมาคิดปรับแต่งได้ดี มักชอบการเป็นผู้นำ ชอบความมีอำนาจ และมักมีตำแหน่งในการงานเสมอ ถ้ารับราชการมักจะก้าวหน้าได้ดี เป็นคนเจ้าความคิด ระเบียบจัด แต่ก็มีเหตุผล ระมัดระวังตัวเองสูง มักวางแผนก่อนทำอะไรลงไปแต่ต้องระวังบางครั้งอาจรีบร้อนเพราะโทสะจนเสียการได้ เป็นคนชอบเรียนรู้ศิลปวิทยาการเกือบทุกแขนง เป็นคนมีวาจาบาดลึก อาชีพที่ดีมักเกี่ยวข้องกับการปกครองบริหารคน งานเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และ ดีเกี่ยวกับงานประเภทหนังสือ การสื่อสาร การค้าด้วย แต่คนในฤกษ์นี้ต้องระวังให้เป็นพิเศษเกี่ยวกับ อารมณ์ขี้หงุดหงิด อารมณ์โกรธของตนให้มาก เพราะคนอื่นอาจจะไม่กล้าเข้าหา เข้ามาบอกเล่าปัญหาอะไรให้คุณฟังก็ได้
4.2 หัตถะ-ภูมิปาโลฤกษ์
.....มักเป็นคนฉลาด รอบรู้ หยิ่งในศักดิ์ศรีตนแม้ชีวิตจะต้องลำบากยากเข็ญก็ไม่ได้ทำให้ชาวฤกษ์นี้รู้สึกว่าตนเองมีปมด้อยแต่อย่างไร เป็นคนคาดหวังอะไรสูงมากจนต้องเตือนให้ระวังสักนิด เพราะชีวิตเรานั้นไม่มีใครสมหวังดั่งที่คิดไว้ทุกคน ชาวฤกษ์นี้มักเป็นผู้นำคน เป็นนักปกครองที่ดี รับราชการก็ก้าวหน้าดี เป็นคนเจ้าความคิดเจ้าระเบียบ อาจจะจู้จี้จุกจิกสักนิดหน่อย มักชอบเรียนรู้ในสิ่งรอบตัวได้ดี มีเหตุผลหนักแน่น พูดน้อยแต่มีน้ำหนักดี มักถูกกับงานเกี่ยวกับการปกครอง และ อสังหาริมทรัพย์ คนฤกษ์นี้มักเป็นคนบูชาความรัก ไปพร้อมๆ กับความต้องการอำนาจที่วาดฝันไว้ ซึ่งต้องพยายามระวังเพราะมักจะนำมาซึ่งเรื่องยุ่งยามมาสู่ตัวคุณ และ สามารถทำให้คุณเสียหายได้เช่นกัน
4.3 ศรวณะ-ภูมิปาโลฤกษ์
.....คนฤกษ์นี้มักเป็นที่พึ่งของคนทั่วไป มีสติปัญญาดี เป็นคนที่มักให้คำแนะนำ หรือ เตือนสติ ในการแก้ปัญหาให้แก่ผู้อื่นได้ดี แต่ลึกๆ มักมีความทนงตัวเมื่อมีคู่แข่งหรือมีผู้อื่นจะมาทำตัวเสมอเหมือน มักจะยอมรับไม่ค่อยได้ จุดอ่อนในข้อนี้ต้องระวังสักหน่อย เพราะคุณอาจจะกลายเป็นเครื่องมือของผู้อื่นที่อาจจะยุให้คุณไปทะเลาะกับศัตรูของเขาได้
.....คนฤกษ์นี้มักมีลักษณะของผู้นำ จึงมักมีตำแหน่งงานเกี่ยวกับการปกครองอยู่เสมอ หากทำราชการก็มักจะเจริญก้าวหน้าดี ทั้งยังเป็นคนเจ้าความคิดชอบเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ เสมอไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ใด เป็นคนค่อนข้างมีระเบียบ มีเหตุผล มีความระมัดระวังตัวเองสูง เป็นคนพูดน้อยแต่มักต่อยหนัก แต่มีข้อด้อยอยู่ตรงที่ความต้องการในอำนาจ หรือ การหวงอำนาจ และเป็นคนที่ค่อนข้างจะหูเบาเชื่อคนง่าย
5. เทศาตรีฤกษ์
.....โบราณนั้นกล่าวว่าเป็นฤกษ์แพศยา สำส่อน คนไม่เลือก ซึ่งเป็นความหมายที่เป็นไปในแง่ลบ ทั้งนี้เป็นเพราะสังคมไทยที่ผู้หญิงมักจะต้องเป็นกุลสตรีเป็นผ้าพับไว้ อยู่แต่ในเรือนชานเท่านั้น ส่วนหน้าที่การงานนอกบ้านจะเป็นหน้าที่ของผู้ชาย แต่วันนี้มาตรฐานนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนไปมากแล้วฉะนั้นเราก็ต้องปรับเปลี่ยนคำทำนายด้วยเช่นกันเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย ซึ่งอีกอย่างฤกษ์นี้ก็ไม่ได้มีความหมายในแง่ลบเสมอไป ดังนั้นเราต้องมาทำความเข้าใจกันเสียใหม่ก่อน ถึงความหมายแบบกลางๆ ของฤกษ์นี้ ฤกษ์นี้น่าจะหมายถึง การเดินทางที่บ่อย การอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง การพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา ซึ่งทำให้ชาวฤกษ์นี้เหมาะสำหรับงานบริการ งานเกี่ยวกับการเดินทาง การต่างประเทศ การสื่อสาร และ งานที่ต้องมีหน้าที่ที่ต้องให้เกียรติเอาใจใส่ต่อบุคคลต่างๆ เช่น งานการทูต การสื่อสารมวลชน งานการบันเทิง ไทต์คลับ บาร์ โรงภาพยนต์ อาบอบนวด คาบาเร่ต์ เสริมสวย ตัวแทนจำหน่าย ขายประกัน กิจการโรงแรม งานเกี่ยวกับการสัญจรของผู้คน
.....เป็นฤกษ์ของเพศหญิง จึงทำให้คนฤกษ์นี้เป็นคนมีเสน่ห์ น่ารัก นิสัยว่องไว รอบคอบช่างคิด ชอบการสังคม อารมณ์ปรวนแปรง่าย รักความยุติธรรม มีโอกาสพบปะผู้คนมากมาย
5.1 มฤคศิระ-เทศาตรีฤกษ์
.....ส่งผลให้คุณเป็นคนหลงใหลในสิ่งที่ตนเองรัก โดยมักไม่ค่อยลืมหูลืมตา เขาว่าอะไรก็ว่าตามเขาไปหมด และความรักเช่นนี้มักนำความทุกข์ยากมาให้คุณ เพราะคุณจะติดอยู่กับความรัก ความผูกพัน ห่วงหาอาลัยได้ง่าย คนฤกษ์นี้มักมีรสนิยมสูง ชอบความหรูหรา มีเสน่ห์ในตัวเอง น่ารัก ว่องไว บูชาความรักสูง เป้นคนช่างคิด ชอบการสังคม อารมณ์ปรวนแปรง่าย รักความยุติธรรม เหมาะแก่งานบริการ การเดินทาง การต่างประเทศ การสื่อสาร การบันเทิงต่างๆ และ เกี่ยวกับความงาม
5.2 จิตรา-เทศาตรีฤกษ์
.....มักเป็นคนรูปโฉมงามสง่า มีเสน่ห์ชวนหลงใหล เป็นที่รักใคร่ของคนรอบข้าง ได้รับการถะนุถนอมดี เป็นคนรักความยุติธรรม สงบสันติ ชอบสิ่งสวยงามเป็นพิเศษ เป็นคนมีสัจจะดี พร้อมที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวมเสมอ วางตัวและเข้าสังคมได้ดี นิสัยร่าเริงสนุกสนาน มักเกี่ยวข้องกับงานสาธารณชน มักเป็นคนอยู่ไม่เป็นที่ ชอบเปลี่ยนอะไรบ่อยๆ ดีกับงานบริการ ตัวแทนจำหน่าย การเดินทางสัญจร การสื่อสาร การบันเทิงต่างๆ เสริมสวยและความงาม และศิลปะต่างๆ แต่ชาวฤกษ์นี้ให้ระวังเกี่ยวกับภัยทางน้ำ หรือ สัตว์น้ำให้มากสักหน่อย เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยถูกกับชาวฤกษ์นี้เลย
5.3 ธนิษฐา-เทศาตรีฤกษ์
.....มักชอบใช้ชีวิตที่เป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่โลภมากและไม่มักใหญ่ใฝ่สูง แต่ชีวิตก็มักอดไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ชาวฤกษ์นี้มีจุดยืนที่ดีคือมิตรภาพ รักพวกพ้อง รักความยุติธรรม สงบสันติ และ พร้อมที่จะเสียสละ ทำงานร่วมกับหมู่คณะได้ดีเยี่ยม เป็นที่ชื่นชอบในวงสังคม นิสัยร่าเริงสนุกสนาน เกี่ยวกับงานมักเป็นงานเกี่ยวกับสาธารณะชนต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา อยู่ไม่ค่อยเป็นที่ เหมาะกับงานให้บริการ ตัวแทนจำหน่าย การสื่อสาร การเดินทาง ศิลปะต่างๆ และ สถานเสริมความงาม
6. เทวีฤกษ์
.....เทวีฤกษ์ผู้งามดั่งนางพญา ดังนั้นจึงมักเป็นคนที่มีเสน่ห์ มีกิริยาท่วงท่าสง่างาม ดูอ่อนกว่าวัยเป็นที่ตรึงใจแก่ผู้พบเห็น เป็นฤกษ์เพศหญิง ทำให้ชาวฤกษ์นี้เป็นคนรักสวยรักงาม แต่แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจน่าเกรงขาม เวลาโกรธมักดูน่ากลัวมาก มีความพิถีพิถันค่อนข้างมาก มักมีธุรกิจเกี่ยวข้องกับสตรีเพศ ถ้าชายท่านใดรับอิทธิพลของฤกษ์นี้เข้าไปมากก็อาจจะทำให้ดุกระตุ้งกระติ้งมากเกินไป
6.1 อารทรา-เทวีฤกษ์
.....ในวัยเยาว์มักกำพร้า หรือ มักขัดแย้งกับบิดามารดา นิสัยน่ารักน่าเอ็นดู เป็นคนที่ใฝ่ใจในการศึกษาเป็นอย่างดี ชีวิตมักเจริญรุ่งเรืองมั่นคง มีคนอุปถัมภ์ช่วยเหลือดี กิริยามารยาทดี มีพลังอำนาจแรงกล้า
6.2 สวาติ-เทวีฤกษ์
.....มักไม่ค่อยได้อยู่กับครอบครัว มักไปอยู่ต่างถิ่นต่างแดน เป็นคนชอบในการบริโภค ชอบอาหารที่หรูหรา เป็นคนรูปงาม มีเสน่ห์ สง่าและนุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม มักเป็นที่พึ่งของผู้ตกทุกข์ได้ยาก มีอารมณ์ช่างคิดช่างฝันช่างจินตนาการ รักง่ายหน่ายเร็ว มักเป็นคนที่ดิ้นรนแสวงหาความสุขสมหวังและความรื่นรมย์แต่มักทำให้ตนเองลำบากยุ่งยาก และมักประสบเรื่องผิดหวังบ่อย บั้นปลายชีวิตให้ระวังเกี่ยวกับการกินอาหารผิดสำแดงด้วย
6.3 ศตภิษัช-เทวีฤกษ์
.....มักถูกผู้อื่นกระทำความคับข้องใจให้อึดอัดขัดข้องโดยที่หาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ชัดเจนว่าเขาทำเพราะเหตุใด คนฤกษ์นี้เป็นคนมีเสน่ห์ ท่วงทีสง่างาม มีอำนาจพลังที่แรงกล้าผสมกับความนุ่มนวลในเวลาเดียวกัน เป็นคนรักสวยรักงาม มักเข้าไปเกี่ยวข้องกับสตรีไม่ว่าจะเป็นทางธุรกิจหรือเพื่อนฝูง ดีเกี่ยวกับธุรกิจของสตรี เครื่องประดับ
7.เพชฌฆาตฤกษ์
.....แหมพอเอ่ยชื่อฤกษ์นี้มา อาจทำให้หลายท่านที่กำเนิดหรือมีจันทร์กำเนิดอยู่ในฤกษ์นี้ รู้สึกว่าชื่อฤกษ์นี้มันน่ากลัวเสียนี่กระไร แต่อย่าตกใจกันให้มากมายนักข้าพเจ้าบอกแล้วว่าทุกฤกษ์มีดีที่ซุป ทุกฤกษ์มีด้านดีด้านไม่ดีอยู่ที่เราจะถอดรหัสเอาส่วนดีมาใช้กันได้หรือไม่
.....ผู้กำเนิดในฤกษ์นี้เป็นคนที่มีใจคอเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ เป็นคนชอบอะไรที่เด็ดขาด นิสัยคล้ายนักล่าหรือนายพราน ชอบกีฬาล่าสัตว์ตกปลา หรือ ชอบฆ่าสัตว์ฆ่าแมลงมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนเชื่อมั่นในตนเองค่อนข้างสูง เด็ดขาดในการตัดสินใจไม่ว่าจะถูกหรือผิด เขาจะยอมรับสภาพในสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้โดยไม่กลับมาเสียใจในภายหลัง
.....งานอาชีพที่ดีของชาวฤกษ์นี้มักเกี่ยวกับ งานที่ต้องใช้ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว พร้อมเผชิญหน้ากล้าใช้กำลัง เช่นอาชีพ ตำรวจ ทหาร รปภ. กิจการที่เกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ ซึ่งชาวฤกษ์นี้จะมีบางส่วนที่คล้ายๆ ชาวโจโรฤกษ์ แต่มีความเข้มข้นต่างกันตรงที่ชาวโจโรฤกษ์มะมีลักษณะเจ้าเล่ห์แกมโกง ชอบวางแผนหาจังหวะสบโอกาสแล้วจึงจัดการ และ ทำอะไรลับหลัง แต่ เพชฌฆาตฤกษ์จะเป็นคน เผชิญและกระทำอย่างซึ่งๆ หน้าเลย ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ถ้าเป็นมวยต้องเปรียบโจโรฤกษ์ เป็นมวยเชิงดี จับจังหวะ หลบหลีกเก่ง ในขณะที่เพชฌฆาตฤกษ์นั้น จะเป็นมวยพุ่งเข้าชนข่มคู่ต่อสู้ แลกหมัดปะทะกำลัง อาศัยเป็นมวยหมัดหนักเข้าว่า ขอให้คู่ต่อสู้โดนสักหมัดเถอะเป็นหลับ
.....เพชฌฆาตฤกษ์นั้นเป็นฤกษ์เพศหญิง เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงง่าย ก่อนตัดสินใจทำอะไรมักลังเลอยู่ชั่วขณะ มีนิสัยหยิ่งถือตัว ไม่ค่อยสัมพันธ์กับผู้อื่นนัก เป็นคนกล้า ขยันชาญชัย รักการผจญภัย ชอบแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ เสมอ ทำคุณคนไม่ค่อยขึ้น แต่ถ้าหากทำไม่ดีมักถูกรุมประณามได้ง่าย เป็นดั่งนักบุญและคนบาปในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งเหล่านี้มักเป้นพลังขับเคลื่อนชีวิตพวกเขาไปสู่หนทางข้างหน้า
7.1 ปุนัพสุ-เพชฌฆาตฤกษ์
.....มักเป็นคนองอาจ มีอดีตที่ผ่านมาไม่ค่อยจะเป็นที่พอใจนัก อาจเป็นชาติตระกูล หรือ ความร้ายกาจของคุณโดยเฉพาะอารมณ์ความดุร้ายของคุณเองในอดีต แต่แล้วคุณเองก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างตรงข้ามกับอดีต กลายเป็นคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมอยู่เป็นประจำจนเป็นที่ยอมรับในวงสังคม ในด้านความรักมักได้คู่ครองที่ดี และเป็นคนต่างถิ่นต่างที่ หรือ ต่างประเทศ และมีฐานะหรือชาติตระกูลที่เหนือกว่าคุณ ชีวิตของชาวฤกษ์นี้มักจะปรากฏความเด่นชัดทั้งด้านบวกและด้านลบ มีส่วนใหม่ซึ่งเจริญงอกงามกับส่วนเก่าซึ่งกำลังเสื่อมลง ซึ่งทำให้ด้านบวกและด้านลบต่อสู้ชัดแย้งกันอยู่ภายในตัวคุณเอง ทำให้ชีวิตเคลื่อนไหวต่อสู้ตลอดแม้จะต้องปวดร้าวถึงใจก็ตามเขาก็ยังดำเนินชีวิตต่อไปด้วยหัวใจที่เร่าร้อนปรารถนา ชาวฤกษ์นี้มักต้องทำงานหนัก ชอบค้นคว้า อดทน กล้าหาญ รักการผจญภัย มีความเชื่อมั่นสูง รู้จักแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ กล้าที่จะยอมรับความจริง กล้ารับการเผชิญหน้า
7.2 วิสาขะ-เพชฌฆาตฤกษ์
.....ทำให้คุณเป็นคนรูปงาม มีความรู้สูง มีประสบการณ์ความชำนาญในสาขาอาชีพมาก แต่มักต้องเสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียง และ อันตรายจากผู้หลักผู้ใหญ่ได้ง่าย ชีวิตคุณมักต้องทำงานหนัก ชอบค้นคว้าศึกษา กล้าหาญ รักการผจญภัย เชื่อมั่นในตนเองสูง ชอบแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ กล้าเผชิญความจริง มักมีด้านบวกและด้านลบซึ่งขัดแย้งกันอยู่ภายในตัวคุณเอง แต่ก็เป็นคนมีอำนาจในตัวเองค่อนข้างมาก มีจินตนาการสูง ร่างกายและจิตใจมักอุทิศให้กับการงานและความรัก หากมีอะไรผิดพลาดเพียงน้ำผึ้งหยดเดียวอาจก่อเหตุร้ายขึ้นได้โดยคุณมิได้ตั้งใจเลย ให้ระวังความปรารถนาอันเร่าร้อนด้วยไฟในตัวคุณให้จงมาก มิฉะนั้นทุกอย่างก็อาจจะเกิดความยุ่งยากและพังพินาศลงในฉับพลัน
7.3 บุรพภัทรบท-เพชฌฆาตฤกษ์
.....ผู้ถือกำเนิดหรือมีจันทร์กำเนิดอยู่ในฤกษ์นี้มักอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะดี แต่มักต้องพลัดพรากจากครอบครัวตั้งแต่เยาว์วัย ต้องไปอาศัยอยู่กับญาติหรือมิตรสหายของพ่อแม่ และ ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีดุจลูกหลาน เป็นคนมีใจคอเด็ดเดี่ยวเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ค่อยเกรงกลัวใคร หากลองได้ตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้วจะมุ่งมั่นทำจนสำเร็จไม่สนว่าผลลัพธ์นั้นจะออกมาเช่นไร ก็จะไม่มานั่งเก็บมาคิดเสียใจในภายหลัง การตัดสินใจนั้นมักเป็นการตัดสินในเรื่องที่กระทำได้ในระยะสั้นๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตอันยาวไกลคุณก็จะไม่ตัดสินใจรวดเร็วเช่นนี้หรอกคุณจะมักใคร่ครวญคิดแล้วคิดอีก จะรู้จักปรับเปลี่ยนโดยไม่จำเป็นต้องทำตามแผนที่วางไว้ซึ่งอาจมีการปรับปรุงแผนการ หรือ ยกเลิกไปเสียเฉยๆ โดยไม่รู้สึกผิดหรือแคร์อะไรทั้งนั้น ผู้กำเนิดในฤกษ์นี้มักจะดำเนินการได้ดีเกี่ยวกับโรงฆ่าสัตว์ หรือ กรมราชทัณฑ์ หรือ เป็นนักมวย นักกีฬา
8.ราชาฤกษ์
.....ผู้กำเนิดหรือมีจันทร์กำเนิดในฤกษ์นี้ มักจะเจริญรุ่งเรืองหรือมีเกียรติยศชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตาและเป็นที่เกรงขามของผู้คน ประกอบกิจการอันใดก็มักจะเจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จดีโดยลำดับ ฤกษ์นี้จัดให้เป็นบุรณะฤกษ์คือมีความสมบูรณ์ของบาทฤกษ์หรือมีนวางค์ที่ครบเต็มทั้ง 4 นวางค์อยู่ในราศีเดียวกันและยังอยู่ระหว่างกลางของตรียางค์อีกด้วย ซึ่งทำให้เด่นกว่าฤกษ์ที่ดีอื่นๆ ที่นวางค์อยู่ในราศีเดียวกัน เป็นฤกษ์ของเพศชาย เป็นฤกษ์แห่งผู้นำ มีท่วงทีลีลาสง่างาม มักต้องการความเคารพนบนอบจากผู้อื่น ดุจดั่งราชสีห์ราชาแห่งสัตว์ทั้งหลาย มีความสุขที่ได้คำรามให้สัตว์ทั้งหลายสยบนบนอบอยู่ภายใต้อำนาจของตน แต่ตัวเองกลับต้องการความนุ่มนวลจากผู้อื่น แต่ถ้าหากมีผู้ใดไม่ยอมรับในอำนาจนั้นก็จะก้าวร้าวตอบ ผู้กำเนิดในฤกษ์ที่ดีเช่นนี้ก็จะได้รับความปวดร้าวได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรทำใจไว้เช่นกัน แม้จะรู้ว่าตนเองเป็นราชสีห์ก็ควรเงี่ยหูฟังไว้บ้าง และยอมรับในพฤติกรรมที่ก้าวร้าวหรือความเห็นที่แตกต่างของผู้อื่นไว้บ้าง โดยเฉพาะชาวฤกษ์ที่ต่ำกว่าที่มีความคิดสร้างสรรค์ และ มีเสียงที่เบากว่าเราอยู่แล้ว ต้องพึงจำไว้ว่าโลกนี้หาได้ประกอบขึ้นมาเฉพาะชาวราชาฤกษ์เท่านั้น มันยังประกอบด้วยฤกษ์อื่นๆ อีกตั้ง 8 ฤกษ์ ทุกฤกษ์มีดีและด้อยของตัวเองทั้งนั้น บุคคลทุกฤกษ์เมื่อถูกนำมารวมตัวกันจึงเรียกได้ว่าเป็นโลกที่สมบูรณ์
8.1 ปุษย-ราชาฤกษ์
.....ความหมายนั้นไม่ต่างกับราชาฤกษ์ที่กล่าวมา คือ เป็นบุคคลที่คนทั่วไปยกย่องให้เกียรติ เป็นผู้ประพฤติดีมีคุณธรรม หากเปรียบเป็นพระราชาก็ต้องเรียกว่าครบถ้วนด้วยทศพิธราชธรรม เป็นอภิชาตบุตร เจริญรุ่งเรืองกว่าพ่อแม่ มีบุคลิกภาพสง่างาม พูดจานุ่มนวลไพเราะ เสียงก้องกังวาน ดวงตาเป็นแววประกาย มีเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ของผู้คนที่ได้พบเห็น เป็นคนมีโชคดี จึงทำให้ชาวฤกษ์นี้เด่นกว่าฤกษ์ทั้งหลาย ซ้ำยังอยู่ในกลุ่มดาวปุยฝ้าย ซึ่งทำให้เด่นกว่าชาวราชาฤกษ์ด้วยกันที่มีอยู่ ทำให้คุณเป็นราชาของคนทั้งหลาย มีสีหนาทและเข้มแข็ง เป็นผู้นำและผู้ปกครองของมหาชน
8.2 อนุราช-ราชาฤกษ์
.....คุณอาจจะพลัดพรากจากพ่อหรือแม่ตั้งแต่ยังเล็ก แต่ก็จะได้ผู้อุปถัมภ์ทุนุถนอมเลี้ยงดูคุณมาตั้งแต่ยังเล็ก หรือ เมื่อเยาว์วัยคุณมักมีสุขภาพอ่อนแอไม่ค่อยแข็งแรงเจ็บป่วยบ่อยทำให้เป็นเด็กขี้อ้อน ให้ระวังบั้นปลายของชีวิตด้วยมักจะมีภัย หรือ ถูกทำร้ายด้วยอาวุธ ชาวฤกษ์นี้มักมีความเป็นผู้นำ มีความกล้าความเชื่อมั่นในตัวคุณเองอย่างร้ายกาจ มีท่วงทีสง่างาม มีเกียรติ หยิ่งในศักดิ์ศรี แต่ชาวฤกษ์นี้มีจุดด้อยตรงที่มักมีความต้องการความเคารพนอบน้อมจากผุ้อื่นมากไปสักนิด ฤกษ์นี้มักทำให้คุณเป็นคนที่สร้างความยินดีแก่ผู้อื่นเสมอ เป็นศูนย์กลางของเหล่ามิตรสหาย เป็นที่ปรึกษาของบรรดามิตรและเขาจะแวะเวียนมาหาสู่เสมอ คุณต้องดูแลตัวเองจากของแหลมคม อุบัติเหตุอันเกิดจากโลหะ ไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์ หรือ ทางการแพทย์ หมอวินิจฉัยโรคผิดรักษาผิด จนทำให้มีภัยจากอุปกรณ์ทางแพทย์ได้
8.3 อุตรภัทรบท-ราชาฤกษ์
.....บ่งบอกว่าคุณเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูง ด้วยเหตุที่ว่าคุณทำอะไรก็มักจะประสบความสำเร็จด้วยดีไม่ค่อยมีอะไรผิดพลาด แถมผู้อื่นยังให้ความร่วมมือกับคุณเป็นส่วนมากอีกด้วย จึงเป็นเหตุให้คุณมักประมาทขาดความระมัดระวังตัวได้ ฉะนั้นบางครั้งเมื่อเกิดปัญหาใหญ่ๆ ขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม คุณอาจตั้งรับมันไม่ได้หรือตั้งรับไม่ทันต้องถอยไม่เป็นขบวน ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้านั้นได้อย่างไร จนทำให้คุณพบกับความวุ่นวายสับสนพอดู แม้ไม่เสียสติก็อาจจะทำให้คุณเสียผู้เสียคนเอาได้เหมือนกัน อันนี้ต้องควบคุมอารมณ์เอาไว้ให้มากหน่อยนี่เป็นจุดด้อยของคุณ ชาวฤกษ์นี้มักมีเกียรติยศชื่อเสียง มีอำนาจวาสนา อันถือว่าเป็นโชคดีของคุณ แต่ชาวฤกษ์นี้มักต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจกลับมาทำลายตัวคุณเองก็ได้ คือตราบใดที่คุณยังหยิ่งทะนงเชื่อมั่นในตัวเองมากจนเกินไปและประเมินว่าผู้อื่นด้อยกว่าคุณ แต่ในความจริงแล้วคู่ต่อกรของคุณอาจไม่ด้อยต่ำกว่าอย่างที่คุณคาดไว้ หรือ อาจเป็นเพราะคุณประเมินตัวเองสูงไป คุณอาจพบกับสิ่งที่กล่าวมาแล้วก็เป็นไปได้ ฉะนั้นจึงต้องเตือนให้ควบคุมตรงนี้ให้มากสักหน่อย อย่าปล่อยให้อารมณ์นั้นมันควบคุมตัวคุณจนมากเกินไป คนฤกษ์นี้โชคดีประจำอยู่แล้วแต่เพียงคุณจำข้อพลาดข้อนี้ไว้ให้ดีถ้าคุณปล่อยอารมณ์ให้มากไปตามนั้นนั่นแหละคือข้อเสียของคุณ อันจะนำมาซึ่งความเสียหายได้
9. สมโณฤกษ์
.....ฤกษ์นี้เป็นฤกษ์ของผู้รักสันติ รักสงบ ชอบหลักศาสนา ชอบของโบราณ ชอบศึกษาค้นคว้า ชอบศาสตร์อันลุ่มลึก เป็นฤกษ์เพศชาย ชาวฤกษ์นี้จึงมีปัญญาลุ่มลึก และมักแสดงออกภายนอกให้เห็นได้ มีความคิดที่สร้างสรรค์จุดประกายสิ่งใหม่ๆ ได้อยู่เสมอ และหลายครั้งหลายหนก็เป็นสิ่งที่ใหม่จนเกินไปคนผู้อื่นไม่คุ้นเคย เลยพาลปฏิเสธไปก็หลายหน แต่ถ้าหากใครมาสะกิดประกายไฟนั้นต่อให้คุณก็สามารถนำมาขยายต่อจนยิ่งใหญ่โชติช่วงได้ แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ค่อยรู้ไม่ค่อยเห็นคุณค่านั้น ฉะนั้นคุณจึงถูกจัดเป็นพวกปิดทองหลังพระเป็นส่วนมาก
.....ชาวฤกษ์นี้มีความเป็นอัจฉริยะในตัวเอง หรือมีสติเฟื่องหลุดโลกได้เช่นกัน ฉะนั้นพึงควรทบทวนสำรวจตัวเองเสมอว่า คุณจินตนาการอะไรจนเกินเหตุเกินผลไปหรือไม่ อันนี้เป็นจุดด้อยของชาวฤกษ์นี้
9.1 อาศเลษา-สมโณฤกษ์
.....ผู้กำเนิดในฤกษ์นี้หรือมีจันทร์กำเนิดในฤกษ์นี้มักมีมารดาเป็นคนมีฐานะค่อนข้างจัดว่าดี หรือ สูงศักดิ์มาก่อน แต่ต้องตกระกำลำบาก ไปอยู่ต่างถิ่นต่างเมือง แต่ก็ได้คุณนั่นแลเป็นอภิชาตบุตร ทำให้สามารถกลับมายังฐานะหรือภูมิลำเนาเดิมได้ ชีวิตมักรุ่งโรจน์ แต่คุณมักจะมีบุตรยาก เมื่อเข้าสู่บั้นปลายของชีวิต ก็จะมีภัยหรือโจรมาแย่งชิงสมบัติหรือถึงกับปองร้ายคุณและลูกหลานด้วยอาวุธ คุณเองก็จะปลงใจที่จะยกสมบัติให้กับโจรนั้นแต่โดยดีทั้งที่หากจะขัดขืนต่อสู้คุณก็สามารถกระทำได้ ชาวฤกษ์นี้เปรียบดั่งเทียนคู่ ที่ถูกจุดไว้เพื่อบูชา แต่แสงเทียนนั้นมิอาจคงทนถาวรได้ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ยังสามารถเปล่งแสงสว่างที่งดงามและน่าชื่นชมยิ่งนัก คุณเป็นคนมีอุดมการณ์ รักความสงบรักสันโดษ ขยันบากบั่น เป็นนักบุกเบิกที่ดี มีความภาคภูมิใจและมั่นใจในตัวเอง มีปารถนาและศรัทธาที่แรงกล้าอันทำให้ผู้อื่นประทับใจอยู่เสมอ รักอิสระ อ่อนโยน ชอบเข้าหาศาสนา ชอบของโบราณ ชอบศึกษาค้นคว้าในศาสตร์อันลุ่มลึก
9.2 เชษฐา-สมโณฤกษ์
.....คุณเป็นคนมีเชื้อตระกูลที่ดี มีรูปร่างงาม พูดจานุ่มนวล อ่อนหวาน บุคลิกดูสงบเสงี่ยมสำรวม มีนิสัยเป็นผู้หลักผู้ใหญ่อันเป็นเสน่ห์ที่สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้พบเห็น จนผู้อื่นมองว่าคุณเป็นอัจฉริยบุคคลเลยก็ว่าได้ แต่คุณย่อมรู้แก่ตัวคุณเองว่าแม้การพูดจาท่วงท่าที่น่าเชื่อถือชัดถ้อยชัดคำมีเหตุมีผลท่วมท้นนั้น แต่แท้จริงแล้วมีความเท็จปะปนอยู่ในนั้นเสมอ อย่างไรก็ตามจัดว่าคุณเป็นคนมีบุญเก่า ทำให้คุณเจริญรุ่งเรืองได้ตั้งแต่ช่วงต้นวัยทำงานจนถึงบั้นปลายแห่งชีวิต คุณเป็นคนมีอุดมการณ์ รักความสงบ บากบั่นบุกเบิก ชอบแสวงหาสัจจธรรมแห่งชีวิต มีความปรารถนาและศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้ผู้อื่นประทับใจอยู่เสมอ รักอิสระ อ่อนโยน ชอบศึกษาในศาสตร์ต่างๆ คุณเป็นคนรักสงบก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เปิดรับอะไรเลย คุณยังเป็นคนชอบท่องเที่ยว จาริกแสวงบุญไปหาที่สงบยังสถานที่ต่างๆ ชอบไปคนเดียวไม่ชอบไปโดยมีหมู่คณะที่ยกกันไปเป็นโขยง
9.3 เรวดี-สมโณฤกษ์
.....คุณมักจะไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง ทำอะไรมักเป็นไปตามกระแสของผู้อื่น เห็นเขาทำก็ทำบ้างโดยมักไม่ค่อยคิดให้รอบคอบเสียก่อนว่าสิ่งที่เขาทำกันนั้นถูกต้องดีงามหรือไม่ หรือ ทำแล้วได้ผลตามที่กล่าวอ้างกันหรือไม่ เช่น การทรงเจ้าเข้าผี ทำเสน่ห์ แก้เคล็ดต่อชะตา ฯลฯ พวกนี้เป็นต้นเหล่านี้มักอาจทำให้คุณถูกหลอกลวงได้ทั้งสิ้น แต่ผู้ที่เกิดในเรวดีฤกษ์นี้มักคิดว่าหากสิ่งนี้เป็นเรื่องหลอกลวง ทำไมคนอื่นตั้งเยอะตั้งแยะเขาจึงเชื่อถือกัน ชาวฤกษ์นี้ก็มีบุคลิกของสมโณฤกษ์ทั้งนั้น คือเป็นผู้รักสงบ ไม่ชอบการขัดแย้งมีปัญหากับใครๆ ใครว่าอย่างไรก็ว่ากันตามนั้น ยอมรับในกฎเกณฑ์ระเบียบปฏิบัติต่างๆ ในสังคม เชื่อผู้นำ สยบยอมทำตาผู้มีอำนาจวาสนา ด้วยจิตที่เห็นว่าผู้นั้นเป็นคนดี ผู้กำเนิดหรือมีจันทร์กำเนิดในฤกษ์นี้ หากได้บวชเป็นนักบวช ก็มักจะอยู่ยั่งยืนในพระศาสนา
--------------------------------------------------------------------
ว่าด้วย นักขัตฤกษ์ ในคัมภีร์จักรทีปนี
อ่านแล้วใช่ว่าอ่านผ่านๆ เมื่อรู้ว่าดีก็พึงรับรู้ว่าดีนั้นดีแบบไหน ผู้ใดกำเนิดในฤกษ์ไม่มงคลก็พึงรู้ว่าควรแก้ไขเช่นไรเพราะในนิทานแฝงเรื่องแก้ไว้ให้ด้วย อยู่ที่ปัญญาของท่านแล้วว่าจะแก้ไขได้เช่นไร เพราะบางฤกษ์นั้นเป็นฤกษ์โจร หรือ ฤกษ์ไม่ดี แต่อย่าลืมว่ามันอยู่ที่ตัวเราเองด้วย พุทธศาสนาสอนทางดำเนินชีวิตในเรานำไปปรับปรุงแก้ไขไว้พึงนำมาประกอบมาใช้ด้วยจะเป็นมงคลยิ่ง เมื่อรู้แล้วและนำมาแก้ไขก็จะประเสริฐยิ่ง บางครั้งจะดีงามกว่าผู้ที่กำเนิดในฤกษ์อันเป็นมงคลซะอีก อันนี้เป็นทัศนะของข้าพระเจ้าเองท่านผู้อ่านเห็นเป็นประการใด เรามาร่วมวิพากษ์วิจารณ์กันได้ และการเข้าร่วมวิพากวิจารณ์เช่นนี้แหละที่ข้าพเจ้าอยากให้เกิดขึ้นในบอร์ดแห่งนี้ ( วิพากษ์วิจารณ์นะครับ หาใช่ทะเลาะ ) แล้วครั้งหน้าเราจะมาวิเคราะห์เรื่อง พินธุบาทว์ ว่าแต่ละแบบมีผลอย่างไรบ้างตามทัศนะของแต่ละท่านที่ได้เจอมา ท่านใดเห็นด้วยช่วยยืนยันมาด้วย จะได้ทำกันแบบเป็นเรื่องเป็นราวไว้เป้นที่อ้างอิงร่วมศึกษากัน ... ขอบคุณครับ
01.ฤกษ์อัศวินี
บุคคลที่เกิดในฤกษ์นี้ ได้แก่ เขสปกุมาร บุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี ผู้มีทรัพย์มากมายครั้นบิดาถึงแก่กรรม ทรัพย์นั้นก็ตกเป็นมรดกแก่เขสปกุมาร แต่เขสปกุมารไม่สามารถรักษาทรัพย์มรดกนั้นไว้ได้ เที่ยวแจกจ่ายคนยากจน ขอทานกิน ฉะนั้นฤกษ์นี้ บิดามารดาทิ้งมรดกไว้เท่าใด ก็ไม่อาจรักษาทรัพย์นั้นไว้ได้
02.ฤกษ์ภรณี
ได้แก่ โฆสกกุมาร ผู้โชคดีได้สมบัติของเศรษฐีแปดร้อยโกฏิมาครอบครอง คนเกิดในฤกษ์นี้ แม้กำเนิดในตระกูลที่เข็ญใจ ก็จะได้ซึ่งสุขสมบัติอันมงคลยิ่ง
03.ฤกษ์กฤติกา
ได้แก่ หิงสะกุมาร 2 พี่น้องถือกำเนิดมาในตระกูลเศรษฐี บิดามารดาอบรมสั่งสอนอย่างใดก็หาประพฤติตามไม่ บิดามารดาจึงขับออกจากบ้านไป 2 พี่น้องเมื่อถูกขับออกจากบ้านก็มาเป็นโจร มาวันหนึ่งถูกชาวบ้านจับได้ จึงนำตัวไปถวายพระเจ้ากรุงพาราณสี พระเจ้ากรุงพาราณสีมีจิตเอ็นดูสงสารจึงรับเลี้ยงไว้ โดยแต่ตั้งให้เป็นขุนพล แต่ทั้ง 2 กลับเนรคุณยกพลเข้าปล้นสมบัติพระเจ้ากรุงพาราณสี แต่ถูกพระเจ้ากรุงพาราณสีจับได้เสียก่อนแล้วนำ หิงสะกุมารทั้ง 2 ไปประหารเสีย ผู้เกิดในฤกษ์นี้ มักเป็นโจร
04.ฤกษ์โรหิณี
ฤกษ์นี้จะได้ดีที่ต่างแดน ท่านจะบูชาลาภจตุบาทโคกระบือ นิทานมีอยู่ว่า อ้าย-ยี่ 2 พี่น้องผู้กำพร้า หาญาติและทรัพย์มิได้ มีอาชีพหาฟืนขาย ยี่ผู้น้องจึงชวนอ้ายพี่ชาย ไปเป็นข้ารับใช้ทำราชการกับท้าวพระยาเห็นจะเป็นการดีกว่า อ้ายผู้พี่จึงแสดงความคิดเห็นว่า การที่จะไปรับราชการกับท้าวพระยานั้น ท้าวพระยานั้นท่านคงไม่รับ ท่านจะรับเฉพาะคนที่มีวิชาความรู้ ซึ่งอ้ายและยี่พี่น้องหาได้มีวิชาความรู้ไม่ ทั้ง 2 จึงตกลงพากันไปร่ำเรียนศึกษาหาวิชาความรู้เพื่อรับราชการ โดยไปร่ำเรียนมนตร์กำบังหายตัว แล้วเอาวิชาไปใช้ย่องขึ้นบ้านผู้อื่น แต่ถูกจับได้เจ้าของบ้านฟันอ้ายผู้พี่ตาย ทรัพย์ที่ได้มานั้นจึงตกอยู่กับยี่ผู้น้อง และในค่ำคืนวันหนึ่งท้าวพระยาได้ออกเที่ยวนอกราชวัง ได้พบกับยี่ ที่ศาลา ท้าวพระยาสอบถามจนรู้ว่ายี่มีวิชาดีจึงชักชวนมาเป็นสหาย แล้วแต่งตั้งให้เป็นเอกอำมาตย์ ผู้ใดกำเนิดในฤกษ์นี้ ถ้าเป้นชายจะได้เป็นมนตรี ถ้าเป็นหญิงจะได้เป็นนางพระยา
05.ฤกษ์มฤคศิร
ผู้ใดกำเนิดในฤกษ์นี้มักจะ ทุกข์ๆ สุขๆ คละเคล้ากัน จะต้องภัยศัตรูจะปองร้าย ให้ไปต่างประเทศจึงจะเป็นเจ้าแห่งสมบัติ ได้แก่ ราชกุมารซึ่งถูกประชาชนเนรเทศจากบ้านเกิดเมืองนอน แล้วโดยสารสำเภาไปยังนานาประเทศ ครั้นวันหนึ่งนายสำเภาถึงแก่ความตายลง เหล่าพ่อค้าวาณิชทั้งหลายจึงยกราชกุมารขึ้นเป็นนายสำเภาแทน
06.ฤกษ์อารทรา
จะมีความสุขเพราะโชคลาภ อันได้แก่นางศรีสมุทร์ภรรยานายสำเภา ต้องมาตกยากเข็ญใจช้อนปลาขาย วันหนึ่งเห็นชายผู้หนึ่งแบกฟืนมา ซึ่งล้วนเป็นท่อนจันทร์เนื้อดี จึงตรงเข้าไปถามชายตัดฟืนว่าฟืนเช่นนี้มีมากไหม ชายตัดฟืนก็ตอบกลับว่ามีมากอยู่ นางจึงให้ชายตัดฟืนนำฟืนทั้งหมดมาแล้วรับซื้อไว้ทั้งหมด และ นำไปจำหน่าย นางและนายสำเภาจึงได้กำไรจากการขายไม้จันทร์เป็นอันมากจนสามารถซื้อสำเภาและร่ำรวยได้เหมือนเก่า ผู้ใดกำเนิดมาในฤกษ์นี้ ถ้าเป็นชายท่านขอให้ลูกสาว ถ้าเป็นหญิงจะได้เป็นแม่ศรีเรือนผู้มีทรัพย์มาก
07.ฤกษ์ปุนัพสุ
มักเกิดโรคา จะตายด้วยโรคเบียน แต่จะเกิดโชคลาภช้าง ฤกษ์นี้ได้แก่บุรุษผู้หนึ่ง อาชีพเป็นเพชฌฆาตสังหารคนโลหิตมิได้แห้ง ผู้ใดเกิดในฤกษ์นี้จะมีจิตใจกล้าแข็งดั่งเพชฌฆาต จะได้เป็นทหารท้าวพระยา
08.ฤกษ์ปุษย
ได้แก่ปุทลักษณ์ วันหนึ่ง นางอักขมุขี ไปได้พระยา อนึ่งได้แก่นางมัลลิกาลูกของไพร่ผู้ดูแลสวนดอกไม้ วันหนึ่งได้ตกไปเป็นชายาท้าวโกศลราช ผู้ใดกำเนิดในฤกษ์นี้จะมีชัยชนะมีความกล้าหาญ ท้าวพระยาบูชา ช้างม้าโภคทรัพย์ดี แต่มักเกิดโรคภัยเบียดเบียน แม้กำเนิดในตระกูลต่ำเข็ญใจก็จะได้เป็นใหญ่ในภายหน้า ถ้าอยู่ในกำเนิดตระกูลดีแล้ว เปรียบดั่ง ลูกท้าวพระยา วันดีคืนดีมีท้าวพระยาเมืองอื่น เอาเมืองมายกให้ให้ 101 เมือง สรุปกำเนิดในชั้นวรรณะไหนย่อมเจริญกว่าวรรณะเดิมที่กำเนิด
09.ฤกษ์อสิเลส
ได้แก้พระโมคคัลลานะ ผู้ทรงฤทธานุภาพเจ้าประกอบด้วยวิชา ผู้ใดกำเนิดในฤกษ์นี้ จะได้ดีในทางศาสนาจะได้เป็นสังฆปรินายกดำรงพระศาสนา หรือไม่ก็จะได้เป็นผู้ทรงศีล ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะได้เป็นเสมียนนักการ หรือ หมอโหราถ้าเป็นหญิงจะได้เป็นภรรยาผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียง แม้ถ่อยสุดก็จะได้เป็นหญิงผู้มีวิชาดี ผู้กำเนิดในฤกษ์นี้มักมีภัย มีทุกข์ด้วยท้าวพระยา จะฉิบหายเพราะโทษประทุษร้ายจากเสนาบดี
10.ฤกษ์มาฆะ
ได้แก่เศรษฐีในเมืองพาราณสี บิดามารดาให้ทรัพย์อย่างมากมาย แต่หารักษาทรัพย์นั้นไม่อยู่พาทรัพย์ฉิบหาย เมื่อหมดทรัพย์สมบัติก็หันไปยึดอาชีพโจรลักทรัพย์ในคลังท้าวพระยา ถูกจับได้และถูกประหารเสีย ผู้ใดกำเนิดในฤกษ์นี้ จะสุขบ้างทุกข์บ้าง ท้าวพระยาจะให้คุณ ญาติพี่น้องจะประเสริฐอุดม แต่ทว่าครองทรัพย์นั้นมิได้แม้จะขวนขวายเท่าใดก็ตาม
11.ฤกษ์ปุพพผัคคุนี
ฤกษ์นี้ได้แก่กุมารผู้หนึ่งซึ่งไร้ทรัพย์ไร้ญาติ กำพร้าเมื่ออายุ 16 ชันษา โดยไปอาศัยพึ่งอยู่กับนายสำเภา นายสำเภาเห็นใจให้เงินมาก้อนหนึ่งเพื่อไปทำทุนค้าขาย กุมารก็ตั้งใจค้าขายได้กำไรจนเป็นเศรษฐีมีทรัพย์สินมหาศาล จนเป็นที่ปรากฏไปถึงหูท้าวพระยาๆ จึงประทานนามให้เป็นยมุนามหาเศรษฐี ผู้ใดกำเนิดในฤกษ์นี้ จะมีมีสำเภานาวา ปรารถนาสิ่งใดก็จะมีความมุมานะพยายามจนได้มา ศัตรูก็จะหันมาให้ความนับถือ ทรัพย์ธัญญาหารประกอบทรัพย์สมบัติศฤงคาร แต่มักจะมีโรคภัยคอยเบียดเบียน
12.ฤกษ์อุตรผัคคุนี
ฤกษ์นี้ได้แก่พระโพธิสัตว์ซึ่งจุติมาครองเมืองพาราณสี ขณะนั้นมีโจรกำลังเท่าช้างสาร คุมไพร่พลโจร 500 คนเที่ยวปล้นบ้านเรือนทั่วเมืองพาราณสี อันเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในเมืองยิ่ง ความทราบถึงพระเจ้าพาราณสีๆ ทรงตรัสให้จัดรี้พลเป็นจำนวลมาก ออกจับเอามหาโจรผู้นั้นจนสำเร็จ ผู้ใดกำเนิดมาในฤกษ์นี้มักเป็นโจรต้องขื่อคา
13.ฤกษ์หัตถี
เดิมมีโคบาล 2 คน เลี้ยงโคด้วยกัน คนหนึ่งกล่าวว่า ท่านโปรดช่วยดูแลโคให้เราสักหน่อยเถอะเราจะตอบแทนท่านด้วยอาหารห่อแก่ท่านให้จงมาก โคบาลอีกคนจึงรับหน้าที่นั้นไว้และดูและฝูงโคนั้นเป็นอย่างดี แล้วผู้ฝากกลับมาพร้อมเอาข้าวห่อมาให้ ผู้รับติว่าน้อยไปไม่คุ้มค่าเฝ้าต้องการมากกว่านี้ ผู้ฝากไม่ยอมให้ ต่างโต้เถียงกันจนเรื่องมาลงเอยที่ศาล พระยาเห็นว่าโคบาลทั้ง 2 ต่างไม่ยอมความกัน ณ.ที่นั้นมีอยู่ผู้หนึ่งนามว่า กะไสย มาบังคับให้เอาข้าวมาจำนวน 11 ห่อกองไว้ แล้วกะไสย จึงถามผู้รับฝากว่า กองใดมาก ผู้รับฝากตอบว่ากองกลางนั้นมาก กะไสยก็ว่ามากแล้วก็จงเอาไปเถิด คดีความจึงได้ยุติ พระยาเห็นความสามารถของกะไสย จึงตั้งให้เป็นมนตรี อันว่าผู้กำเนิดมาในฤกษ์นี้แม้จะกำเนิดในตระกูลถ่อยก็จะได้เป็น ขุนนางผู้ใหญ่
14.ฤกษ์จิตต
ได้แก่พระโพธิสัตว์ กับ ชาย 2 คนๆ หนึ่งชื่อ เทวจิต กับ สารจิต ได้เข้าสนทนาเจรจากับพระโพธิสัตว์แล้วชักชวนกันว่า เราไม่ควรมาอยู่กัน ณ.ที่นี่เพราะเห็นจะไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร จึงตกลงพากันไปยังนครหัสดิน เมื่อไปถึงท้าวพระยาได้พูดคุยไต่ถามสนทนากับพระโพธิสัตว์ๆ ก็ได้ถวยพระธรรมเทศนา ท้าวพระยาชื่นชมพร้อมยกราชธิดาเป็นบูชาพระโพธิสัตว์ ส่วนเทวจิต กับ สารจิต ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอำมาตย์ซ้ายขวา อันผู้ใดกำเนิดมาในฤกษ์นี้จะได้ดั่งนิทานที่ว่าไว้
15.ฤกษ์สาติ
มีนารีผู้หนึ่งนามว่า สาไข มีอาชีพเก็บผักขาย มีบุตรีนามว่า ปุษยนารี อายุ 15 ปีไปเป็นคนรับใช้เศรษฐีชื่อ ภัทรา ผู้มีทรัพย์สินมหาศาล นานมาภรรยาเศรษฐีตาย เศรษฐีจึงยกนางปุษยนารีขึ้นเป็นภรรยา จนให้กำเนิดบุตรคนหนึ่ง ครั้นหมดบุญลงทรัพย์สมบัติก็ตกแก่บุตร ผู้ใดกำเนิดในฤกษ์นี้ ถ้าเป้นชายท่านขอลูกสาวให้ ถ้าเป็นหญิงจะเป็นใหญ่ในทรัพย์สินเงินทอง ประกอบด้วยทรัพย์ศฤงคารและข้าคน
16.ฤกษ์วิสาข
ตามราชาทึก อันสังหารคนไม่ได้ขาด ผู้ใดกำเนิดในฤกษ์นี้จะได้เป้นทหารพระยา มิฉะนั้นจะเป็นนายเพชฌฆาต จะเป็นชาวประมง พราน ถ้าเป้นหญิงจะเป็นแพศยาอย่าสงสัย
17.ฤกษ์อนุราช
ผู้ใดกำเนิดในฤกษ์นี้จะได้โภคทรัพย์สมบัติ สตรีจะบูชา ทำการเกี่ยวกับช่างจะดี ถ้าประกอบด้วยพระเคราะห์ที่เป็นมหาอุจ แม้จะเกิดเป็นลูกไพร่ต่ำช้า ก็จะได้กินเมือง ถ้าหญิงพงศ์ขุนจะได้เป็นนางราชกัลยา
18.ฤกษ์เฉฏฐ
จะต้องภัยศัตรู จะมีทุกข์ แต่จะมีสมบัติทรัพย์ธัญญาหารมาก ถ้าพระเคราะห์ประกอบด้วยมหาอุจ 5 ตัวจะเป็นผู้มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ แม้บวชก็จะเป็นสังฆราชเป็นใหญ่กว่ากว่าสงฆ์ทั้งปวง ถ้ามีสกุลพราหมณ์จะรู้จบไตรเพท ถ้ามีมหาอุจ 3 ตัว จะเป็นดาบสฤาษี มีมหาอุจ 2 ตัวดุจเดียวกับมหาอุจ 3 ตัว ถ้ามีมหาอุจตัวเดียวถ้าบวชเรียนภายภาคหน้าจะเป็นสัมมาอัครธรรมถึก ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะเป็นเสมียนผู้ใหญ่ เป็นหญิงจะได้เป็นมารดาพระสงฆ์ผู้รู้ธรรมวินัย
19.ฤกษ์มูล
ได้แก่นางสุพรรณ บุตรีเศรษฐีในเมืองปาตะลีบุตร มีทรัพย์อันมหาศาล เมื่อบิดาถึงแก่กรรมทรัพย์ทั้งปวงไม่ได้ตกแก่นาง นางนั้นต้องเข็ญใจไร้ทรัพย์ ผู้กำเนิดในฤกษ์นี้มักเป็นคนไร้ทรัพย์ มักต้องช้ำใจ มีโรคภัยมาก ตายด้วยเขี้ยวงาสัตว์ร้าย
20.ฤกษ์ปุพพสาฬห
ได้แก่ ศรีวีระ ผู้เข็ญใจแห่งเมืองอินทรปัตถ์ เก็บใบมะขามอ่อนให้มารดานำไปขาย อุตสาหะทำไร่ทำนาทำสวน ได้ข้าว 3 เกวียน เห็นหญ้าอ่อนๆก็นำไปขายให้พ่อค้าเลี้ยงม้าเป็นประจำ พ่อค้าพึงพอใจจึงมอบลูกม้าให้ตัวหนึ่งเป็นอาชานัย แล้วมีเศรษฐีผู้หนึ่งเอาทองมาแลกกับม้า ศรีวีระไม่รับ ความทราบถึงกษัตริย์ให้เอาทอง 1 ล้านมาให้ขอซื้อม้าเพื่อนำไปเป็นราชพาหนะ ศรีวีระจึงขายให้แล้วนำทองที่ได้มาลงทุนค้าขายจนได้กำไรเพิ่มเติมมหาศาล กษัตริย์จึงแต่งตั้งให้เป็นมหาเศรษฐี ผู้ใดกำเนิด มักทำการค้ามีเงินทองมากมาย มีความสุข ได้ลาภจากสตรี ได้ความสุขเพราะสตรี
21.ฤกษ์อุตราสาฬห
ได้แก่มหาสุข บุตรีมนตรีเมืองไพศาลี ไปคบเพื่อนที่เป็นโจรแล้วออกปล้นทุกแห่ง มหาสุขกับพวกโจรห้าร้อยถูกจับได้ แล้วนำตัวไปถวายพระยาๆ ให้ประหารโจร เอาแต่มหาสุขไว้ ครั้นพระยาสวรรคต โหราจารย์ทั้งหลายจึงยกให้มหาสุขเป็นกษัตริย์สืบต่อไป ผู้เกิดฤกษ์นี้มักเป็นโจร มีภัยด้วยอาวุธ มักมีโรคร้ายคุกคาม มีโทษ 3 ประการดังนี้ แต่ถ้ามีมหาอุจหนึ่งตัว ต้นแม้จะร้ายแต่ปลายดี
22. ฤกษ์สาวณ
มีเมืองหนึ่งชื่อ สุนทคิรีมหานคร มีคราหนึ่งเมืองอินทรปัตถ์แต่ง เต่าทอง ส่งมายังสุนทคิรีมหานคร แต่เต่ามิได้ไข่ ชาวเมืองหมดปัญญาที่จะแก้ปริศนาทำให้เต่ายนต์ อันมีกลปริศนาไข่ได้ถึง 10 ปี ชาวอินทรปัตถ์ต่างเย้ยหยันว่าถ้าไม่สามารถไขปริศนาให้เต่าไข่ได้ ให้มากราบไหว้เจ้ากรุงอินทรปัตถ์ ท้าวสุนทคิรีโกรธกริ้วยิ่ง ให้ตีฆ้องร้องเป่าหาผู้มีปัญญามาแก้กลนี้ มีผู้หนึ่งรับอาสาแล้วเอาเข็มมาแหย่จมูกเต่ายนต์ เต่ายนต์ก็ออกไข่มา พระยาจึงแต่งตั้งให้เป็นขุนพล ผู้ใดกำเนิดในฤกษ์นี้จะได้เป็นมนตรีใหญ่ จะได้โคกระบือ ข้างมา ลูกเมียจะได้
23. ฤกษ์ธนิษฐ
ได้แก่พระยาอุเทน จากถิ่นที่อยู่ไปอยู่ถิ่นอื่นจนได้เป็นท้าวพระยา ผู้ใดกำเนิดในฤกษ์นี้มักจะไปได้ดีในต่างแดน จะเป็นราชทูต เดินทางๆบกดี ทางน้ำไม่ดี กำเนิดใต้ไปได้ดีเหนือ กำเนิดเหนือไปได้ดีใต้ จะได้ลาภอันใหญ่
24. ฤกษ์สตพภิสช
มีนางราชกัลยาองค์หนึ่งเป็นราชธิดากษัตริย์เมืองอินทรปัตถ์ เมื่อถึงกาลอันสมควรแก่การสยุมพรแล้ว ราชบิดาจึงประกาศเชิญชวนบรรดาราชา ราชบุตร มนตรี กวี ปราชญ์ ชาติเศรษฐี ประชาราษฎร มาประชุมที่หน้าพลับพลา แล้วให้ราชธิดาเสี่ยงมาลัยเลือกคู่ ถ้าชื่นชอบชายใดให้นำมาลัยไปสวมพระราชบิดาจะอภิเษกให้ ราชธิดาเห็น อะโสภาผู้เฒ่าทำให้เกิดความพึงพอใจด้วยบุพเพสันนิวาส จึงมอบมาลัยนั้นแด่อะโสภา หมู่ชนจึงนินทากล่าวเย้ยหยันว่า นางประหลาดไปรักผัวแก่ แต่พระราชบิดาก็อภิเษกให้ตามที่ได้ตรัสไว้ ครั้นนานมาพระราชบิดาก็ได้สวรรคต สมบัติการครองเมืองก็ตกแก่อะโสภาผู้เฒ่านั้น ผู้ใดกำเนิดมาในฤกษ์นี้ ท่านจะขอให้ลูกสาว จะได้ดีเพราะสตรี มีโคกระบือ ช้างม้า จะได้แผ่นดิน ประกอบด้วยโชคลาภอันเที่ยงแท้
25. ฤกษ์ปุพพภัทท
ได้แก่นาย บุญทฤก ผู้เป็นพราน แต่ด้วยมีวาจาสัตย์แม้ปรารถนาจะสังหารสัตย์ใดจะตั้งใจเอาแต่ที่ปรารถนาไว้เท่านั้น ตัวอื่นมิได้เอา ครั้นหนึ่งได้ขึ้นไปบนยอดเขารู้สึกกระหายน้ำมากแล้วนอนสลบอยู่ เทพยาดาจึงให้พระพายไปบอกน้ำให้ขึ้นมา พระคงคาทราบความก็ไหนขึ้นไปยังยอดเขา นายพรานจึงได้อาบกินด้วยอำนาจในความสัตย์ที่กระทำมา ผู้ใดกำเนิดในฤกษ์นี้ จะเป็นเพชฌฆาต เป็นพราน เป็นชาวประมง ประกอบด้วยทรัพย์ธัญญาหาร มีศักดิ์เป็นพระยามีความสุข
26. ฤกษ์อุตตรภัทท
ได้แก่ ทุรจิต ผู้เข็ญใจอาศัยอยู่ในกรุงหัสตินปุระ เที่ยวหาบฟืนขาย แบ่งไว้กินบ้างเก็บสะสมบ้าง อยู่มาเจ้าเมืองหัสตินสวรรคต แล้วหาราชวงศ์ที่จะสืบราชสมบัติไม่ได้ เหล่าเสนาอำมาตย์จึงทำพิธีเสี่ยงราชรถ เทพยดาจึงดลให้ราชรถไปหยุดยังทุรจิต เหล่าเสนาอำมาตย์จึงเชิญมาครองราชสมบัติ ทุรจิตครองราชสมบัติไปตามราชธรรม ครั้นสวรรคตแล้ว ก็บังเกิดในสวรรค์เทวโลก ผู้ใดกำเนิดมาในฤกษ์นี้ ถ้ามีพระเคราะห์มหาอุจ แม้เป็นลูกไพร่ก็จะได้เป็นใหญ่ จะได้เป็นขุนนาง ท้าวพระยา ถ้าเป็นหญิงจะได้เป็นนางพระยา มีโคกระบือ ช้างม้า ข้าคนชายหญิง เงินทองมากมาย
27. ฤกษ์เรวดี
ได้แก่ฤาษีตนหนึ่ง ชื่อ เทวาจารย์สำเร็จญาณไปสู่สวรรค์ และลงมายังเมืองมนุษย์เพียงลัดนิ้วมือเดียว ผู้ใดกำเนิดในฤกษ์นี้ และมีมหาอุจ 8 ตัวจะถึงซึ่งนิพพานในชาตินี้ ถ้าเป็นอุจจาวิลาสจะเป็นฤาษีมีฤทธิ์สามารถเดินทางโดยรอบจักรวาลเพียงลัดนิ้วมือเดียว ถ้าบวชในศาสนาจะได้เป็นสังฆปรินายก รู้จบพระไตรปิฎก สรรพทุกประการ ถ้ามีมหาอุจ 2 ตัว ถ้าเป็นนักบวชเรียนจะอุดม ถ้าเป็นหญิงจะได้เป็นมารดาพระสงฆ์ โดยถอยลงมาจะได้เป็นแม่มดหมอ แต่มักจะเกิดทุกข์ยาก
--------------------------------------------------------------------