ในที่นี้ผู้เขียนจะขอแนะนำวิธีการใช้เครื่องหมายและฟังชั่นควบคุมการคำนวณ
รวมทั้งวิธีการทำงาน ของคำสั่ง เฉพาะที่ใช้งานในบทความนี้แต่เพียงคร่าวๆ
เท่านั้น และขออนุญาตไม่กล่าวถึงวิธีการใช้โปรแกรม Microsoft Excel เลย เนื่องจากไม่ใช่เรื่องหลักของบทความนี้
ท่านผู้อ่านจะต้องมีพื้นความรู้ในการใช้งานโปรแกรม MS Excel อยู่บ้างนะครับ
ถ้าไม่รู้อะไรเลยก็คงจะลำบากในการอ่านและติดตามบทความชุดนี้ ถึงอ่านได้แต่ก็ไม่รู้อะไรเลย
และก็คงเบื่อไปในที่สุด เพราะในบทความชุดนี้ จะมีแต่การกล่าวถึง วิธีการสร้างสูตร
ซึ่งต้องใช้คำสั่งควบคุมแบบต่างๆ เพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ และมีการอ้างชื่อเซลล์ต่างๆ
บนแผ่นกระดาษคำนวณ (Worksheet) อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นถ้าต้องการติดตามแบบให้รู้เรื่อง
ในทุกขั้นตอน ก็ควรจะหาความรู้พื้นฐานในการใช้งานเสียก่อน และหนังสือพื้นฐานการใช้งานโปรแกรม
Microsoft Excel 2002 (XP) ก็มีอยู่มากมายในท้องตลาด ซื้อมาแล้วทดลองเล่นให้มีความคุ้นเคยในระดับหนึ่งก่อน
(เช่น สามารถแก้ไขข้อมูล, วิธีการเขียน-แก้ไขสูตร, การ Copy สูตรในเซลล์,
การเคลื่อนย้ายข้อมูลในเซลล์, เปลี่ยนสีตัวอักษร, ใส่สีลงในเซลล์ต่างๆ เป็นต้น)
แล้วจึงเริ่มศึกษาคำสั่งที่แนะนำมาให้นี้ และทำตามให้ได้ผลสำเร็จไปที่ละขั้น
อย่าข้ามขั้น เพราะในขั้นตอนถัดไปจะทำ ต่อไปได้ ส่วนใหญ่ก็ต้องอาศัยคำตอบจากขั้นตอนที่ผ่านมา
เป็นมูลคำนวณของขั้นต่อไปทั้งสิ้น และคำว่า "คำตอบหรือผลลัพธ์"
ในภาคการคำนวณตามท้องพระคัมภีร์นี้จะใช้คำพูดสั้นๆ ว่า
“ลัพธ์”
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ
เครื่องหมายและฟังก์ชั่นการคำนวณ (คำสั่งหรือสูตรคำนวณตายตัว) ดังนี้
ชนิดของข้อมูล
แบ่งออกเป็น
1.
ชนิดตัวอักษร (Character) คำนวณไม่ได้, ชิดซ้ายเซลล์เสมอ เช่น A-Z, a-z
2.
ชนิดตัวเลข (Numeric) คำนวณได้, ชิดขวาเซลล์เสมอ เช่น 0-9
3.
ชนิดวันที่-เวลา (Date-Time) คำนวณได้, ชิดขวาเซลล์เสมอ เช่น 15/4/2008,
24:00
วิธีการเขียนสูตรลงในเซลล์
1.
ต้องการให้ ผลลัพธ์ แสดงที่เซลล์ใดให้เขียนสูตรลงในเซลล์นั้น
2.
การเขียนสูตรต้องใส่เครื่องหมาย = นำหน้าเสมอทุกครั้ง
3.
ถ้าต้องการนำข้อมูลที่อยู่ในเซลล์อื่น มาแสดงผลหรือนำมาคำนวณในเซลล์ที่เราต้องการ
ให้ใช้วิธีการอ้างอิง ชื่อเซลล์นั้น เช่น H11 =H4 (นำข้อมูลในเซลล์ H4 มาแสดงผลในเซลล์
H11)
4.
ถ้าต้องการใส่ข้อความลงในสูตร ต้องเขียนข้อความอยู่ภายในเครื่องหมาย "
" และต้องเชื่อมต่อด้วยเครื่องหมาย & เสมอ
5.
การทำงานของสูตร จะทำตามลำดับขั้นความสำคัญ หรือลำดับก่อนหลัง (Priority)
ของเครื่องหมายคำนวณ โดยจะทำงานตามสูตรที่อยู่ใน วงเล็บก่อนเสมอ และถ้ามีวงเล็บซ้อนวงเล็บก็ทำวงเล็บในสุดก่อน
เสร็จแล้วจึงมาทำชั้นนอก แล้วจึงไปทำที่เครื่องหมายอย่างอื่น ตามลำดับขั้นต่อไป
ถ้าเครื่องหมายมีลำดับความสำคัญระดับเดียวกัน ก็จะทำงานที่ เครื่องหมายตัวซ้ายสุดก่อนแล้วจึงไล่ไปทางขวาจนหมด
การอ้างอิงชื่อเซลล์
คือวิธีการนำค่าจากเซลล์อื่น
ให้มาแสดงผล หรือนำค่านั้นมาใช้คำนวณยังจุดหรือเซลล์ที่เราต้อง ทำได้ 2 วิธี
คือ
1.
การอ้างชื่อเซลล์แบบธรรมดา ทำได้โดยการใส่เครื่องหมาย =
นำหน้าแล้วระบุชื่อเซลล์ธรรมดา เช่น H11 =H4 หมายความว่า ต้องการให้ผลลัพธ์ที่แสดงผลบนเซลล์
H11 เป็นค่าจากเซลล์ H4 เป็นต้น (แต่เมื่อมีการ Copy สูตรมาใช้ ชื่อเซลล์ที่อ้างอิงแบบธรรมดานี้จะมีการเปลี่ยนค่าไปตามการ
Copy)
2.
การอ้างชื่อเซลล์ โดยการระบุเป็นแบบ Absolute Address คือการอ้างชื่อเซลล์แบบตายตัว
ใช้วิธีการแบบเดียวกับข้อ 1 แต่ที่ชื่อ Clumn และชื่อ Row ให้ใส่เครื่องหมาย
$ นำหน้าไว้ เช่น H11 =$H$4 เมื่อถึงคราวที่ต้องมีการ
Copy สูตรมาใช้ ชื่อเซลล์ที่อ้างอิงแบบนี้ ก็จะไม่มีการเปลี่ยนค่าชื่อเซลล์ตามการ
Copy (ใช้ในกรณีที่ต้องการค่าการคำนวณตายตัวเฉพาะเซลล์นั้นเพียงเซลล์เดียว
(ในที่นี้คือ H4))
เครื่องหมายที่ใช้เชื่อมความในสูตร
เครื่องหมาย
& (แอนด์) ใช้ในการเชื่อมข้อความเข้ากับสูตรเดิมที่เขียนไว้แล้ว โดยข้อความที่นำมาเชื่อม
ต้องเขียนอยู่ภายในเครื่องหมาย " " มีวิธีการดังนี้
เช่นที่เซลล์
A3 เขียนสูตรว่า =A1 + A2 & "บาท" (เมื่อ A1=5 A2= 20 ดังนั้น
A3 จะแสดงผลเป็น 25 บาท)
สมมุติ
ต้องการให้เซลล์
A12 แสดงผลเวลาเป็นคำว่า เวลา 22:53:24
เราต้องเขียนที่สูตรเซลล์ A12 ดังนี้
="เวลา "&A6&":"&A8&":"&A10
( เมื่อเซลล์ที่เก็บค่านาฬิกาไว้มี A6=22 , A8=53, A10=24 )
เครื่องหมายที่ใช้ในการคำนวณ จะมีการจัดลำดับขั้นความสำคัญ
หรือลำดับก่อนหลัง (Priority) ในการทำงานไว้ดังนี้
ลำดับที่
1 คือเครื่องหมาย ( ) (วงเล็บ)
ลำดับที่
2 คือเครื่องหมาย ^ (ยกกำลัง)
ลำดับที่
3 คือเครื่องหมาย * และ / (คูณ และ หาร) จัดอยู่ในลำดับเดียวกัน
ลำดับที่
4 คือเครื่องหมาย + และ - (บวก และ ลบ) จัดอยู่ในลำดับเดียวกัน
สมมุติให้
เซลล์ B1=4, B2=5, B3=24, B4=20
เช่นสั่งให้คำนวณเป็น
B3+B4/B1+B2 จะได้คำตอบ = 34 (อาจเขียนสูตรนี้ที่เซลล์
B5 ก็ได้)
กรณีนี้โปรแกรมจะทำงานที่ค่า
20/4 = 5 ก่อนแล้วจึงนำค่ามาบวกกันเป็น 24+5+5 = 34
แต่ถ้าสั่งให้เป็นแบบนี้
(B3+B4)/B1+B2 จะได้คำตอบ = 16 (อาจเขียนสูตรนี้ที่เซลล์
B6 ก็ได้)
เนื่องจากโปรแกรมจะทำงานในวงเล็บก่อนที่ค่า
24+20 = 44 และนำค่ามาหาร 44/4 =11 แล้วจึงนำมาบวกอีกที 11+5 = 16 เป็นต้น
เครื่องหมายที่ใช้ในการเปรียบเทียบ
เป็นเครื่องหมายคำนวณทางด้านตรรกศาสตร์ (Logic) ใช้ในการสร้างเงื่อนไขบนสูตรคำสั่ง
IF การทำงานคือต้องสั่งให้ทำการเปรียบค่า 2 ค่า ว่าเป็นอย่างไรกับเครื่องหมาย
เช่นถามว่า ค่า 1 = 2 หรือไม่ และคำตอบที่ได้ออกมาจะมีเพียง 2 ค่า คือ จริง
(TRUE) หรือ เท็จ (FALSE) เท่านั้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ในที่นี้คำตอบคือ "FALSE”
เมื่อตอบแล้วก็จบการทำงาน แบ่งออกเป็น
1.
เครื่องหมาย = (เท่ากับ)
2.
เครื่องหมาย <> (ไม่เท่ากับ)
3.
เครื่องหมาย < (น้อยกว่า)
4.
เครื่องหมาย > (มากกว่า)
5.
เครื่องหมาย <= (น้อยกว่าหรือเท่ากับ) จะตรวจสอบ 2 ครั้งคือ น้อยกว่า
1 ครั้งและเท่ากับ 1 ครั้ง
6.
เครื่องหมาย >= (มากกว่าหรือเท่ากับ) จะตรวจสอบ 2 ครั้งคือ มากกว่า 1
ครั้งและเท่ากับ 1 ครั้ง
สมมุติให้
เซลล์ B1=4, B2=5, B3=24, B4=20 (เป็นค่าเดิมไม่ต้องพิมพ์ใหม่)
เช่น
ถ้าถามว่า B1=B2 คำตอบที่ได้ = FALSE (อาจเขียนสูตรนี้ที่เซลล์
B7 ก็ได้)
B3<>B4
คำตอบที่ได้ = TRUE (พิมพ์สูตรไล่เรียงเซลล์ลงไปเรื่อย ๆ )
B1<B2
คำตอบที่ได้ = TRUE
B1>B2
คำตอบที่ได้ = FALSE
B1*B2<=B4
คำตอบที่ได้ = TRUE
B1*B2>=B3
คำตอบที่ได้ = FALSE (อาจเขียนสูตรนี้ที่เซลล์ B12
ก็ได้)
ฟังชั่นคำนวณอื่น
ๆ
1.
SUM (Summary) เป็นคำสั่งให้หาผลรวมของจำนวนทั้งหมดในช่วงเซลล์ที่ระบุ
รูปแบบ
SUM(ช่วงเซลล์1, ช่วงเซลล์2, ช่วงเซลล์3,
........ช่วงเซลล์30)
การระบุช่วงเซลล์
ให้ใช้เครื่องหมาย : คั่นกลางเสมอ เช่น A1:A10 หมายถึง เซลล์ A1 ถึง A10
สมมุติให้
เซลล์ B1=4, B2=5, B3=24, B4=20 (เป็นค่าเดิมไม่ต้องพิมพ์ใหม่)
=SUM(B1:B4)
คำตอบที่ได้ = 53 เป็นต้น (อาจเขียนสูตรนี้ที่เซลล์
B13 ก็ได้)
2.
INT (Integer) เป็นคำสั่งตัดทศนิยมทิ้งไป ให้เหลือเป็นเลขจำนวนเต็มเท่านั้น
รูปแบบ
INT(ชื่อเซลล์ หรือ ตัวเลขที่มีทศนิยม)
สมมุติให้
เซลล์ C1=5.455
=INT(C1)
คำตอบที่ได้ = 5 เป็นต้น
3.
MOD (Modulo) เป็นคำสั่งให้ส่งกลับค่าเป็นเศษที่เหลือจากตัวเลขที่ถูกหารด้วยตัวหารแล้ว
รูปแบบ
MOD(ชื่อเซลล์ หรือ ตัวเลข, ตัวหาร)
สมมุติให้
เซลล์ C3=2007
=MOD(C3,4)
คำตอบที่ได้ = 3 เป็นต้น (ผลลัพธ์ = 501 เศษ 3)
4.
ROUND เป็นคำสั่งปัดเศษตัวเลข ให้เป็นเลขจำนวนที่มีทศนิยมตามที่เราระบุ
โดยมีข้อแม้ว่า
4.1
ถ้าตัวทศนิยมน้อยกว่า 0.5 จะปัดลง
4.1
ถ้าตัวทศนิยมมากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 จะปัดขึ้น
รูปแบบ
ROUND (ชื่อเซลล์ หรือ ตัวเลขที่มีทศนิยม, จำนวนหลักทศนิยม)
สมมุติให้
เซลล์ C5= 4.4588, C6= 4.5597
=ROUND(C5,2)
คำตอบที่ได้ = 4.46 (ใส่ 2 คือต้องการให้มีทศนิยม 2 ตำแหน่ง)
=ROUND(C5,0)
คำตอบที่ได้ = 4 (ใส่ 0 คือไม่ต้องมีการทศนิยม )
=ROUND(C6,2)
คำตอบที่ได้ = 4.56
=ROUND(C6,0)
คำตอบที่ได้ = 5
5.
VALUE เป็นคำสั่งแปลงค่าสายอักขระ ว-ด-ป หรือ ชม-นท-วนท
ที่อยู่ในรูปแบบสูตร ให้เป็นค่าตัวเลขแบบอนุกรม (Serial Number) (คือค่าเลขประจำตัวของ
ว-ด-ป หรือ ชม-นท-วนท)
รูปแบบ
VALUE(สายอักขระข้อความ)
เช่นเขียนสูตรลงเซลล์
G4 =14&"/"&3&"/"&2008 เมื่อกด Enter
เซลล์ G4 จะแสดงผลเป็น 14/3/2008 ผลลัพธ์แบบนี้จะเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผล
ให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เนื่องจากเป็นค่าที่เกิดจากสูตรที่มีทั้งตัวเลขและข้อความ
ผสมกันอยู่ ดังนั้นค่ารวมจึงเป็นข้อมูลชนิด สายอักขระ (Character Stream)
ซึ่งจะนำไปคำนวณ หรือเปลี่ยนรูปแบบไม่ได้
แต่ถ้าต้องการนำไปคำนวณ
หรือเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลเป็นอย่างอื่น ให้แปลงค่าสายอักขระไปเป็น Serial
Number เสียก่อนโดยใช้คำสั่ง
=VALUE(G4)
ได้คำตอบ = 39521 และเมื่อสั่งเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผล แบบกำหนดเอง เป็น dd
ดดด bbbb ก็จะแสดงผลเป็น 14 มี.ค. 2551
หมายเหตุ
จุดเริ่มต้นของระบบวันที่ในคอมพิวเตอร์คือ 1/1/1900 มี Serial number = 1
และ วันที่ 14/3/2008 อยู่ห่างจุดเริ่มต้น = 39521 วัน
ฟังชั่นตรวจสอบทางด้านตรรกศาสตร์
คือคำสั่งที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการเปรียบเทียบค่า
2 ค่า ที่มีมากกว่า 1 ชุด โดยใช้เครื่องหมายเปรียบเทียบค่า เข้ามาช่วย และให้คำตอบออกมาเป็น
TRUE หรือ FALSE เท่านั้น
1.
ฟังชั่น AND (และ) มีเงื่อนไขว่า
-
ค่าที่นำมาเปรียบเทียบจะมีกี่ชุดก็แล้วแต่ เปรียบเทียบแล้วต้องเป็น TRUE
ทั้งหมด คำตอบสุดท้ายจึงจะออก มาเป็น TRUE
-
ค่าที่นำมาเปรียบเทียบถ้ามีเพียงชุดใดชุดหนึ่ง เป็น FALSE เท่านั้น คำตอบสุดท้ายจะออกมาเป็น
FALSE ทันที
รูปแบบ
AND( ค่าที่1 เปรียบเทียบกับ ค่าที่2, ค่าที่3 เปรียบเทียบกับ
ค่าที่4, .........)
สมมุติให้
เซลล์ B1=4, B2=5, B3=24, B4=20 (เป็นค่าเดิมไม่ต้องพิมพ์ใหม่)
เช่น
AND(B1<=B4,B3>B4,B1+B4=B3) คำตอบที่ได้ = TRUE (อาจเขียนสูตรนี้ที่เซลล์
B14 ก็ได้)
AND(B1<>B4,B3>B4,B1*B2>=B3)
คำตอบที่ได้ = FALSE
2.
ฟังชั่น OR (หรือ) มีเงื่อนไขว่า
-
ค่าที่นำมาเปรียบเทียบจะมีกี่ชุดก็แล้วแต่ เปรียบเทียบแล้วถ้ามีชุดใดชุดหนึ่งเป็น
TRUE คำตอบสุดท้ายจะออก มาเป็น TRUE ทันที
-
และค่าที่นำมาเปรียบเทียบต้องเป็น FALSE ทั้งหมด คำตอบจึงจะออกมาเป็น FALSE
รูปแบบ
OR( ค่าที่1 เปรียบเทียบกับ ค่าที่2, ค่าที่3 เปรียบเทียบกับ
ค่าที่4, ..........)
สมมุติให้
เซลล์ B1=4, B2=5, B3=24, B4=20 (เป็นค่าเดิมไม่ต้องพิมพ์ใหม่)
เช่น
OR(B1<>B4,B3>=B4,B1*B2=B4,B3>=B1+B4) คำตอบที่ได้ = TRUE (อาจเขียนสูตรนี้ที่เซลล์
B16 ก็ได้)
OR(B1*B2<B4,B3<=B4,B1*B2=B3,B3>B2+B4)
คำตอบที่ได้ = FALSE
ฟังชั่นที่ใช้ในการสร้างเงื่อนไข
IF
เป็นคำสั่งที่ใช้ในการสร้างเงื่อนไขทางด้านตรรกศาสตร์ (Logic) โดยใช้เครื่องหมายการเปรียบเทียบ
หรือฟังก์ชั่นตรวจสอบตรรกศาสตร์ต่าง ๆ มาเป็นตัวสร้างเงื่อนไข เพื่อหาคำตอบที่เกิดจากเงื่อนไข
ซึ่งมีอยู่ 2 ค่า คือคำตอบเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง (TRUE) และ คำตอบเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ
(FALSE) โดยคำตอบที่ได้ออกมานี้ ก็ต้องเกิดจาก สูตรคำนวณทั้งสิ้น ซึ่งเป็นได้ทั้งตัวเลข,ข้อความและคำตอบทางตรรกศาสตร์
การใช้
IF ชั้นเดียว
รูปแบบ
IF(นิพจน์เงื่อนไข, สูตรเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง, สูตรเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ)
หรือเขียนย่อๆ
เป็น =IF(เงื่อนไข, สูตรเมื่อจริง, สูตรเมื่อเท็จ)
การใช้
IF หลายชั้น
รูปแบบ
IF(นิพจน์เงื่อนไข 1, สูตรเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง 1, IF(นิพจน์เงื่อนไข
2, สูตรเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง 2, IF(นิพจน์เงื่อนไข 3, สูตรเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
3, IF(นิพจน์เงื่อนไข 4, สูตรเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง 4, IF(นิพจน์เงื่อนไข
5, สูตรเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง 5, สูตรเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ)))))
หมายเหตุ
การปิดวงเล็บ ให้ดูจำนวน IF ใช้กี่ตัว ก็ให้ปิดวงเล็บเท่านั้นตัว
หรือเขียนย่อๆ
เป็น IF(เงื่อนไข1, สูตรเมื่อจริง1, IF (เงื่อนไข2,
สูตรเมื่อจริง2, IF(เงื่อนไข3, สูตรเมื่อจริง3, IF(เงื่อนไข4, สูตรเมื่อจริง4,
IF(เงื่อนไข5, สูตรเมื่อจริง5, สูตรเมื่อเท็จ)))))
หลักการคือ
IF จะตรวจสอบเงื่อนไขที่1 ถ้าเป็นเท็จก็จะไปตรวจสอบเงื่อนไขที่2 ต่อไปจนกว่าจะพบเงื่อนไขที่เป็นจริง
และให้คำตอบจากสูตรเมื่อจริง นั้นออกมา ก็จบการทำงาน แต่ถ้าไม่เงื่อนไขใดเป็นจริงเลย
ก็จะให้คำตอบจากสูตรเมื่อเท็จ ออกมา ก็จบการทำงานเช่นกัน
โจทย์
เช่น ต้องการหาคำตอบว่าปีใดเป็นปีอธิกสุรทิน หมายถึงเดือน
ก.พ. มี 29 วัน โดยมีเงื่อนไขว่า
1.
ถ้านำปี ค.ศ. นั้น หารด้วย 4 แล้วเหลือเศษ 0 แสดงว่าปีนั้นมีอธิกสุรทิน คือ
ก.พ. มี 29 วัน
2.
แต่ถ้าปี ค.ศ.ใดหารด้วย 100 แล้วเหลือเศษ 0 แสดงว่าปีนั้นไม่มีอธิกสุรทิน
คือ ก.พ. มี เพียง 28 วัน เช่นปี ค.ศ. 1900 , 2100 , 2200 , 2300 , 2500
, 2600 , 2700 , 2900 .....
3.
แต่ถ้าปี ค.ศ.ใดหารด้วย 400 แล้วเหลือเศษ 0 ให้เปลี่ยนกลับมาเป็นปีนั้นมีอธิกสุรทิน
คือ ก.พ. มี 29 วันอีก เช่นปี ค.ศ. 2000 , 2400 , 2800 , 4000
ตัวอย่างการใช้
IF ชั้นเดียว
สมมุติให้
เซลล์ H1 มีค่า = 2008 และต้องการแสดงค่าที่เซลล์ J1 ให้เขียนสูตรหาค่าดังนี้
ที่เซลล์
J1 เขียนสูตรว่า =IF ( MOD ( H1, 4 ) = 0, 29, 28 )
การทำงาน
คำสั่ง MOD เป็นคำสั่งให้หาค่าเศษจากการหาร ดังนั้นสูตรจึงทำการนำค่า 2008/4
ได้ผลลัพธ์ = 502 เศษ 0 ฉะนั้นคำตอบจึง = 0 หลังจากนั้นคำสั่ง IF จะตรวจสอบเงื่อนไขต่อพบว่า
0 = 0 แสดงว่าเป็น TRUE ก็จะไปนำคำตอบที่ เป็นจริงคือเลข 29 ส่งออกมาเป็นคำตอบสุดท้ายบนเซลล์
J1 =29
ตัวอย่างการใช้
IF หลายชั้น
จาก
โจทย์ ด้านบนพบว่ามีถึง 3
เงื่อนไข ดังนั้นการใช้ IF ชั้นเดียวจึงไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมทุกเงื่อนไขแล้ว
ฉะนั้นที่เซลล์ J1 จึงต้องเพิ่มสูตรเป็น
J1
= IF( MOD(H1, 400) = 0, 29, IF( OR (MOD(H1, 4) <> 0, MOD(H1, 100)=0),
28, 29))
การทำงาน
เมื่อ H1 =2008 คำสั่ง IF จะเริ่มตรวจสอบที่ 2008/400 ก่อน พบว่าได้ผลลัพธ์
= 5 เศษ 8 คำตอบจึง= FALSE และไปทำงานที่ IF ตัวที่สองต่อ พบว่า เป็นการตรวจสอบแบบ
“OR” กับเงื่อนไข 2 ชุด คือ
ชุดที่
1. ตรวจสอบว่า 2008/4 <> 0 หรือไม่ ได้ผลลัพธ์ = 502 เศษ 0 คำตอบจึงเป็น
FALSE
ชุดที่
2. ตรวจสอบว่า 2008/100 = 0 หรือไม่ ได้ผลลัพธ์ = 20 เศษ 8 คำตอบจึงเป็น
FALSE
เมื่อนำ
ชุดที่ 1 “OR” กับ ชุดที่ 2 ได้คำตอบเป็น FALSE คำสั่ง IF จึงไปนำค่าจากสูตรเมื่อเท็จคือเลข
29 ออกมาเป็นคำตอบสุดท้าย แล้วแสดงผลลงบนเซลล์ J1 =29
ข้อแนะนำ
ในตอนต่อๆ ไปให้ท่านทำตามตัวอย่างที่เห็นในรูปทุกประการ ขั้นตอนบอกให้ใช้เซลล์ใด
และเขียนสูตรอย่างไร ก็ให้ทำไปตามนั้นก่อน จนปรากฏผลลัพธ์ออกมาได้เช่นเดียวกันกับตัวอย่าง
แล้วท่านต้องการจัด ตำแหน่งใหม่อย่างไร ให้สวยงามก็ตามใจท่าน
โปรดทราบ
ข้อความต่างๆ ที่จะได้เห็นในตัวอย่างของตอนต่อๆ ไป เป็นการพิมพ์ (Key) ลงไปและใส่สีลงบน
เซลล์แบบธรรมดาเท่านั้น ยกเว้นเซลล์ที่มีการระบุไว้ในบทความนี้ว่าต้องเป็น
สูตร จึงจะพิมพ์สูตรใส่ลงไปในเซลล์นั้น
ดังนั้นเซลล์ใดที่มิได้ อ้างอิงชื่อเซลล์ ไว้ในบทความนี้
จึงเป็นการพิมพ์ข้อความลงไปและใส่สีเซลล์ธรรมดาตามปกติ |