แก้กรรมด้วยบุญ  ตอนที่ 1  แก้บนที่จำไม่ได้

 

      การบนบานศาลกล่าว  คือ  การขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือในสิ่งที่ตนเองต้องการอยากจะได้  หรืออยากให้เป็นไป  ถ้าท่านช่วยให้สำเร็จแล้วจะมาให้สิ่งตอบแทนตามที่เคยพูดไว้

คือ แก้บน  ศาสนาหลายๆ ศาสนามีความเชื่อว่า  พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก  สร้างทุกสิ่ง  เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์ และคอยบันดาลให้เราพบความทุกข์  ความสุข  ตามกรรมของแต่ละคน

ศาสนาพุทธสอนให้เราเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม

ใครทำดีต้องได้ดี  ใครทำชั่วต้องได้ชั่ว  ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน  เราทำกรรมอะไรไว้  ต้องได้รับกรรมนั้น   กรรมนั้นจะติดตามตัวไป   ทั้งชาตินี้- ตายไปแล้ว โลกนรกวิญญาณ  และชาติหน้า

มนุษย์เมื่อขาดความเชื่อมั่นตนเอง  จึงต้องหันไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วย  และมนุษย์จำนวนมากมักไม่ช่วยตนเองให้ถึงที่สุดก่อน ไม่พยายามให้สุดกำลังก่อน  อยากได้อะไร ก็ไปบนบานศาลกล่าว

ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้สมหวัง  คนเราเวลาหน้ามืดตามัวขึ้นมาแล้วก็พูดได้ทุกอย่าง โดยที่ไม่คิดว่าสิ่งที่พูดไปนั้นจะทำได้หรือไม่  บางครั้งก็บนในสิ่งที่เหลือเชื่อเกินความสามารถ เกินวาสนาของตนเอง  และบนไว้หลายที่  จนจำไม่ได้ว่าบนอะไรไว้บ้าง  และบนกับใครไว้บ้าง 

      บางท่านเข้าใจว่า  เมื่อไปบนแล้วได้ตามประสงค์จึงจะไปแก้บน  ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องไปแก้

เช่น  บางท่านบอกว่า อยากได้  10 ล้าน ได้มาเพียงแค่หมื่นเดียว  แสดงว่าบนไม่ได้  ดังนั้นของที่บนไว้ก็ต้องลดลงตามส่วน หรือไม่ก็งดไปเลย   หรือ บางคนไปบนขอลูก  ปีแรกยังไม่มี  แต่พอผ่านไป 3 ปี  แล้วมีลูก ตอนนั้นก็ลืมไปแล้วว่าบนกับใครไว้บ้าง  จำไม่ได้ ….อย่างนี้เป็นต้น 

      ความจริงแล้วการบนบานศาลกล่าว  เป็นการติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดา  ถือเป็นพันธะสัญญาที่ต้องชดใช้   การที่คนเราจะได้สิ่งที่บนไว้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับวาสนาและกรรมเก่าของตนเองไม่ใช่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดาไม่ช่วย  ที่มีบุญวาสนาช่วยได้ก็อาจได้รับ  แต่ที่ไม่เคยทำบุญเลย

ไม่มีวาสนาจะได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เทวดาก็ฝืนกฏแห่งกรรมไม่ได้  อย่างนี้เมื่อบนแล้วถือเป็นพันธะสัญญา  แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เทวดาจะไม่เอาเรื่องเอาความ  แต่เหล่าตีนโรงตีนศาลเหล่าบริวารที่เป็นวิญญาณพเนจรที่เป็นผู้รับเรื่องที่จะช่วย  จะคอยติดตาม คอยทวงหนี้อย่างไม่ลดละ  อันนี้จะทำให้เกิดหนี้กรรมใหม่ได้ ….ลืมแก้บน   จำไม่ได้  ทำอย่างไร…

1.  เริ่มจากการถือศีล 8  สามวัน  ห้าวัน  เจ็ดวัน  สิบวัน  ตามศรัทธาใจ  แล้วปฏิบัติธรรมสวดมนต์ไหว้พระ  พร้อมด้วยกาย  วาจา  ใจ  ฝึกสติ – นั่งสมาธิ แผ่เมตตา  เป็นการแก้บนด้วยกายปฏิบัติบูชา

2.  เมื่อปฏิบัติข้อ 1  ถึงวันสุดท้าย  ก็จัดเครื่องเซ่นบวงสรวง  มีอาหารคาว  หวาน น้ำ  เหล้า ข้าวเปล่า  ผลไม้  ดอกไม้เครื่องหอม  และอื่นๆ  (จัดได้ตามกำลังเงินที่มีมากน้อยตามแต่ใจ)

-จัดวางเครื่องเซ่นบวงสรวงบนโต๊ะ (ปูผ้าขาว)  กลางแจ้ง

-เริ่มด้วยการ  กล่าวชุมนุมเทวดา  แล้วอัญเชิญเทพพรหมทุกชั้นฟ้า   เทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง

เจ้าที่เจ้าทาง  เจ้าป่าเจ้าเขา  เจ้าเรือน    ครูอาจารย์  ผู้มีพระคุณ  รวมทั้งเจ้ากรรมนายเวร  ที่เราได้เคยบนบานไว้แล้ว  สมหวังบ้าง  ไม่สมหวังบ้าง  จำได้ก็ดี  จำไม่ได้ก็ดี  จงมารับเครื่องบวงสรวง

สักการะเหล่านี้  และผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติดีแล้วนี้  ถวายแด่ ท่าน  ขอให้ท่านทั้งหลายจงรับ

และอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญฯ  สุดท้ายจะขอพรด้วยก็ได้  ขอเฉยๆ  ห้ามบนอีก..

จากนั้นก็ปักธูปลงบนอาหารทุกอย่าง  (ใช้ธูป  36  ดอก ) เมื่อธูปหมดก็กล่าวลาได้ 

-บัดนี้  ถึงเวลาอันสมควรแล้ว  ข้าพเจ้าขอลาเครื่องบวงสรวงเหล่านี้  เพื่อเป็นสิริมงคลของผู้

  บริโภคต่อไป

-เสร็จแล้วให้หากระทงใส่อาหารทุกอย่าง ๆ ละ เล็กละน้อย  นำไปตั้งไว้ที่ทางสามแพร่งเพื่อให้เหล่าตีนโรงตีนศาล  ผีพเนจรมารับไป 

-แล้วนำอาหารส่วนที่เหลือแจกจ่ายเป็นทานให้คนอื่นๆไป  อันเป็นการได้กุศลแผ่ไปถึงผู้รับบนบานศาลกล่าวทุกรูปทุกนามอีกต่อหนึ่งด้วย

-แล้วเราก็จะแบ่งอาหารส่วนหนึ่งไปรับประทาน

…………   อยากบนบาน  ต้องรับผิดชอบ…………….