พระไพรีพินาศ
กฤษฎา พิณศรี
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์



ปัจจุบัน ถ้าจะเอ่ยถึง “พระไพรีพินาศ” คนส่วนใหญ่คงต้องนึกถึงพระกริ่งและเหรียญพระพุทธรูปปางประทานพร ซึ่งวัดบวรนิเวศวิหารได้จัดสร้างขึ้นเนื่องในวาระฉลองพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๖ รวมทั้งพระกริ่งและพระพิมพ์ผงภาพพระพุทธรูปพุทธลักษณะเดียวกันนั้น ซึ่งทางวัดได้จัดสร้างขึ้นในระยะหลังอีกหลายรุ่น โดยจำลองแบบมาจากพระพุทธรูปศิลาองค์หนึ่ง ที่มีผู้นำมาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร

ตามประวัติที่บันทึกไว้ใน ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร ได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปองค์นี้ไว้ว่า

“ ...พระไพรีพินาศองค์เดิมเป็นพระพุทธรูปศิลาขนาดย่อม หน้าพระเพลา ๑ คืบ ๔ นิ้ว สูงตลอดพระรัศมี ๑ ศอก มีเศษไม่ถึงนิ้ว เป็นพระพุทธรูปแบบพระธยานิพุทธเจ้า ปางประทานพร สมัยศรีวิชัย เล่ากันว่าพระพุทธรูปนี้ มีผู้นำมาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เมื่อยังทรงผนวชอยู่ในราว พ.ศ.๒๓๙๑ ได้ถวายพระนามว่า พระไพรีพินาศ

“...พระไพรีพินาศใคร่ครวญตามพระนามน่าจะได้เชิญประดิษฐานไว้ในเก๋งน้อยที่สร้างใหม่ ณ ทักษิณชั้นบนแห่งพระเจดีย์ในครั้งนั้น เว้นไว้แต่ได้ประดิษฐานในครั้งยังทรงผนวชเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๑ ที่เป็นคราวสิ้นเสี้ยนศัตรูครั้งแรก…”

ปัจจุบัน พระไพรีพินาศประดิษฐานอยู่ที่ซุ้มเก๋งด้านทิศเหนือของพระเจดีย์ประธานของวัด ในหนังสือ ศิลปกรรมวัดบวรนิเวศวิหาร ได้กล่าวถึงเจดีย์ที่สร้างเก๋งประดิษฐานพระไพรีพินาศไว้ตอนหนึ่งว่า

“...พระเจดีย์ไพรีพินาศเป็นพระเจดีย์ศิลา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างขึ้นบรรจุพระพุทธวจนะ ประดิษฐานอยู่ในคูหาภายในเจดีย์ใหญ่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ ระหว่างการซ่อมแซมพระเจดีย์ได้พบกระดาษขาว มีตราแดง ๒ ดวง มีอักษรเขียนว่า พระสถูปเจดีย์ศิลาบัลลังก์องค์นี้จงมีนามพระไพรีพินาศเจดีย์เทอญ อีกหน้าหนึ่งเขียนไว้ว่า เพราะตั้งแต่ได้ทำมาคนไพรีก็วุ่นวายยับเยินไปโดยลำดับ…”

พุทธลักษณะของพระไพรีพินาศเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งแบบวัชราสน์ (ขัดสมาธิเพชร) บนปัทมาสน์อันประกอบด้วยกลีบบัวคว่ำและกลีบบัวหงายมีเกสรบัวประดับ ทรงแสดงวรมุทรา (ปางประทานพร) โดยหงายพระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางหงายเหนือพระชานุด้านขวา

องค์พระพุทธรูปมีพระอังสากว้าง บั้นพระองค์เรียวเล็ก ครองอุตราสงค์เรียบไม่มีริ้ว ห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวาโดยมีสังฆาฏิสั้นพาดบนพระอังสาซ้าย และมีขอบพระอุตราสงค์พาดผ่านพระกรซ้าย พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระนลาฏค่อนข้างกว้าง พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์อมยิ้ม พระกรรณยาวจรดพระอังสา ขมวดพระเกศาเป็นก้นหอย มีเกตุมาลาขนาดใหญ่ประดับด้วยเส้นพระเกศา มีรูปเปลวไฟอยู่เบื้องบน กับทั้งมีประภามณฑลอยู่เบื้องหลัง

อาจกล่าวได้ว่าพระไพรีพินาศมีรูปแบบทางศิลปกรรมคล้ายกับพระพุทธรูปในศิลปะชวา ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดียแบบปาละอีกต่อหนึ่ง ลักษณะทางประติมานวิทยาคือการแสดงวรมุทราหรือประทานพรนั้น คงมีความหมายถึงพระธยานิพุทธเจ้าประจำทิศใต้ ตามคติความเชื่อในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ที่มีชื่อว่ารัตนสัมภวะ

สำหรับมูลเหตุแห่งการถวายพระนามพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวนี้ว่า "พระไพรีพินาศ” ก็เนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า ทรงได้พระพุทธรูปองค์นี้มาในระยะเวลาติดต่อกับที่ผู้ที่จ้องทำลายพระองค์ คือกรมหลวงรักษ์รณเรศ หรือหม่อมไกรสร มีเหตุอันที่ทำให้ต้องแพ้ภัยตัวเอง

กล่าวคือ เมื่อครั้งที่เจ้าฟ้ามงกุฎฯ เสด็จมาประทับจำพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร ได้มีกลุ่มผู้ที่มุ่งจะทำลายพระองค์ นำโดยกรมหลวงรักษ์รณเรศ (หม่อมไกรสร) ผู้ซึ่งหมายมั่นจะขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยเหตุนี้ จึงมีความคิดกำจัดผู้ที่จะเป็นคู่แข่งสำคัญด้วยวิธีการกลั่นแกล้งต่างๆ นานา เป็นต้นว่า เอาข้าวต้มร้อนๆ ใส่บาตรที่พระองค์ทรงถืออยู่ในระหว่างทรงบิณฑบาต เพื่อให้ทรงเกิดทุกขเวทนา ซึ่งการกระทำของหม่อมไกรสรที่มีต่อพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎฯ นั้น มีอยู่อย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ แต่พระองค์ก็หาได้ตอบโต้ไม่ กลับทรงวางพระองค์อยู่ในอุเบกขาธรรมเสมอมา

จนกระทั่งวันหนึ่ง มีผู้นำพระพุทธรูปมาถวาย พระองค์ได้นำพระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานไว้ในที่อันควร และทรงกระทำการสักการบูชาอยู่เสมอ ภายหลังจากนั้นไม่นาน หม่อมไกรสรก็มีอันต้องประสบเหตุเภทภัย เนื่องจากกระทำผิดกฎมณเฑียรบาลอย่างร้ายแรง จนถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์

พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ทรงเห็นว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ที่ตั้งแต่พระองค์ทรงได้พระพุทธรูปองค์นี้มา ไพรีหรือศัตรูก็พินาศย่อยยับลงไปตามลำดับ จึงทรงถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระพุทธไพรีพินาศ”

ภายหลังเมื่อพระองค์ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ได้ทรงประกอบพระราชพิธี “ผ่องพ้นไพรี” อันเป็นพระราชพิธีที่แสดงถึงพระบารมีและบุญญาธิการของพระองค์ที่สามารถผ่านพ้นการจ้องทำลายของเหล่าศัตรูมาด้วยดี โดยมิได้ทรงตอบโต้แต่ประการใด แต่เหล่าศัตรูกลับต้องพ่ายแพ้ภัยของตนเองไปในที่สุด

ด้วยเหตุนี้ รูปจำลองของพระไพรีพินาศซึ่งสร้างขึ้นมาเป็นวัตถุมงคล จึงเป็นที่นิยมชมชอบของนักสะสมพระเครื่องและพุทธศาสนิกชนทั่วไป เนื่องจากเชื่อว่ามีพุทธคุณในทางปกป้องคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากศัตรูผู้ที่คิดร้าย เฉกเช่นเดียวกับพระไพรีพินาศองค์ที่นำมาเป็นต้นแบบ



บทความนี้มาจาก วารสาร เมืองโบราณ MuangBoran Journal
http://www.muangboranjournal.com/

URL สำหรับเรื่องนี้คือ:
http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=89